วันอาทิตย์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2554

โลกใบใหม่ หัวใจ ดวงจันทร์

เกริ่นนำ
........
ดวงอาทิตย์ แต่ก่อน เขาเรียกกันว่าอะไร อาจจะเรียกว่า ที่ส่องแสงสว่าง หรือ ดวงไฟที่น่ากลัว ในเวลาค่ำคืน ตอนที่แสงสว่างไม่ส่อง แล้วแสงหายไปไหน แล้ว ความมืด มันมาจากที่ไหนกันนะ......ตอนกลางวันที่มีดวงอาทิตย์..เวลาเราหลับตา ทำไมมันถึงมืดได้ ทั้งที่เป็นตอนกลางวัน แล้วความมืดมันมาจากไหน มันอยู่ตรงไหน .....ความมืดคืออะไร แล้วทำไมคนถึงกลัวความมืด เช่นที่ป่าช้า ในเวลากลางวัน ทำไมไม่กลัว แต่ พอตกกลางคืน มืดค่ำ ไม่มีแสง ทำไม ถึงกลัวกัน
แล้วเวลานั่งสมาธิ ถ้าหลับตาแล้วอยู่กับความมืด มันทำให้จิตใจเราคิดอะไรได้ต่างๆนาๆ ทำไม ความมืด ถึง แสดงออกถึงความกลัว ความไม่น่าสัมผัส
แต่ทำไมเวลาคนเราจะนอนหลับ จะพักผ่อน ถึงต้อง หลับ...ให้เลยความมืดที่ตาหลับ แต่ยังต้องการ เลยความมืด อีก ก็คือ การลืมทุกสิ่ง หลับอย่างวางใจวางกาย ลืมสติ ลืมความจำได้หมายรู้ ไม่อยากจำอะไรอยากหลับ อยากลืม อยากไม่มีสติ ...แล้วถ้าคนเรา หลับไม่ลง หลับแล้ว จิตยังตื่นอยู่ สติยังมีอยู่ มันก็ หลับไม่ได้ น่ะสินะ....ถ้าเป็นแบบนี้...หลับไม่ลง สติไม่หลับ จิตไม่หลับ มีใครอยากเป็นแบบนี้บ้างครับ....หลับตาแล้วไม่มืด แต่ หลับตาแล้ว ยังสว่างโล่อยู่ สติรู้อยู่ จิตรู้มันตื่น ไม่หลับ ...สว่างทั้งที่ยังหลับตา มีใครอยากเป็น บ้างครับ...
นี่แหล่ะ เวลา ที่เราตาย แล้ว สติไม่ตาย จิตไม่ตาย มันรู้ มันตื่น มันไม่ดับจิต...ความทรงจำไม่ลืม ยังมีความจำได้หมายรู้ อยู่ ...สว่างอยู่ มันก็ไม่ตายจริงสินะครับ
แล้วเวลาที่นั่งสมาธิ แล้วพบกับความมืด ท่านกลัวอะไรมั้ย แล้ว พากันนั่งเพื่อเห็นแสง เห็นความสว่าง เพื่อหนีความมืดในใจ ..หลับตาแต่ไม่มืด นอนหลับแต่ตื่นอยู่ ตายแล้วไม่ดับ...มันปกติมั้ยครับ

........
โลก...ก้อนโลก ก้อนดาว ก้อนอังคาร ก้อนอุกกาบาต(ทำไมวิ่งได้) ก้อนดาวหาง( ทำไมวิ่งได้และมีแสง)
ที่จริงแล้ว(อันนี้ผมสงสัยเอง) โลกเราหมุนรอบดวงอาทิตย์ จริงหรือ หรือ ดวงอาทิตย์หมุนรอบ โลกเรา...โลกเราหมุนรอบตัวเองน่ะไช่ แล้วถ้าโลก มันหมุนและโคจรจริง แต่ไม่ได้โคจรรอบดวงอาทิตย์ แต่ เป็นโคจร รอบดวงจันทร์ แทนล่ะ มันเป็นไปได้มั้ย
คำว่าโลก คือ โลกวัฏฏะสงสาร แสดงว่า โลกนี่แหล่ะที่หมุนรอบตัวเอง ที่เคลื่อนที่เท่านั้น แล้วถ้าดวงจันทร์คือ แกนหมุนล่ะ เป็นไปได้มั้ย เพราะ เวลาทั้งปี ที่พสกันคิดว่า โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์ แล้วทำไม กลุ่มดาว ดางดาวทั้งหลาย ทำไม ยัง อยู่ตำแหน่งเดิม อยู่จุดเดิม เรียงในแนวเดิมล่ะ ดาวไถ ก็ยังเป็นดาวไถ..ดาวเหนือก็ยังเป็นดาวเหนือ ดาวจรเข้ก็ยังเป็นดาวจรเข้ ไม่เห็น เปลี่ยน ตำแหน่ง เปลี่ยนจุดเลย ดาวอื่นๆ ก็ยังคงอยู่ในที่ของมัน ก็แสดงว่า โลกไม่ได้วิ่งไปไหน ไม่ได้วิ่งรอบดวงอาทิตย์ แต่ที่จริงแล้ว ดวงอาทิตย์ วิ่งรอบโลกเรา วิ่งรอบดาวทั้งหลาย
เวลาที่เรานั่งรถ ในระยะทางไกลๆ สภาพแวดล้อม ยังเปลี่ยนไปเรื่อยๆ รถวิ่งเร็ว เรานั่งในรถ...แต่ที่เปลี่ยนที่เคลื่อน กลับเป็น ทิวทัศน์ข้างทางเหมือนกับรถที่เรานั่ง ไม่ได้เคลื่อนที่....แต่ทำไมดาว ยังเหมือนเดิม
ถามว่าระยะทางจากโลกไปดวงอาทิตย์ หรือจากดวงอาทิตย์ มายังโลก ใครไปวัดครับ...คนที่วัดได้ เคยไปแตะสัมผัสดวงอาทิตย์มั้ยครับ ถึงวัดระยะทางได้..แล้วพวกคุณเชื่อเรื่องนี้หรือเปล่าครับ...และทฤษฏีความเร็วแสง คุณเชื่อหรือไม่ครับ ว่า แสงวิ่งได้ แสงเดินทางได้ คุณเชื่อหรือเปล่าครับ แล้วเวลาที่เราหลับตา แสงมันหายไปได้ยังไง แล้วความมืดเวลาหลับตา ความมืดมันมาจากไหน ความมืดมันวิ่งมาจากไหน เวลาลืมตา แสงก็มา แสงมาจากไหน มันวิ่งมาจากไหน ...เวลามืด เวลาหลับตา ความมืดมันวิ่งมาจากไหน มันเดินทางมาจากไหนครับ มีแต่ทฤษฏีความเร็วแสงเท่านั้นหรือครับ แล้วทฤษฏีความเร็วของความมืด ไม่มีหรือครับ
สิ่งที่เล็กที่สุด ที่พบคือ...อะตอม ในอะตอม มีนิวเครียส(เรียกกันอย่างนั้น)และรอบๆมี ขั้วบวกกับขั้วลบ โปรตรอน นิวตรอน.....ถามว่า อะตอม..มันหยุดนิ่งหรือ มันเคลื่อนอยู่ครับ

ในพืชที่เล็กที่สุดคือเซลล์ ถามว่าเซลล์มันนิ่งหรือ มันเคลื่อนอยู่ครับ

ไม้เกาหลัง..ตะปู.ถามว่า มันนิ่งหรือมั่นเคลื่อนครับ

การนับ 1 ถึง 100 ถ้า 100คือ จุดจบ ดังนั้น ถ้าการนับ คือการเติบโต..ก็แสดงว่าเป็นการเติบโต ไปสู่จุดดับ จุดเสื่อม...ถ้าจะนับแบบ การนับ ถอยหลัง จาก 100 ไป หา 1...คิดแบบนี้ ถูกมั้ยครับ

ถ้าสมมุติ คนเราเกิดมา อายุทั้งหมด 80 ปี ครึ่งชีวิตคือ 40 ปี ..จาก 1 ถึง 40 เป็นการโต แต่จาก 40 ถึง 80 เป้นการนับถอยหลัง เป็นการถอยหลังสู่การเสื่อม สู่การแตกดับ...คิดแบบนี้ได้มั้ยครับ

เราจุดบั้งไฟ ให้ มันขึ้นไปตรงๆ จากจุดเริ่มต้น...ขึ้นไปจนหมดเชื้อเพลิง จนถึงจุดสูงสุด แล้วบั้งไฟ ก็กลับ ลงมาและ ตกลง ที่จุดเดิม....ถามว่า การลอยและการตกที่ผ่ามานั้น...มันไม่เหลืออะไร เหมือนไม่เคยมีอยู่เลย...มีแค่ จุดเริ่มหรือจุดตก ที่เป็นจุดเดิม...เป็นจุดเดียวกัน....เหลือจุดเดียว..คิดแบบนี้ ได้มั้ยครับ

การเดินจงกลม จากจุดหยุดนิ่ง คือ จุดเริ่มต้น แล้วเริ่มเดิน เป็นการเริ่มเกิดขึ้น ที่ก้าวแรก และ เดินจนถึงจุด วกกลับ แล้วเดินกลับมา ที่จุดเริ่มต้นใหม่ ที่จุดเดิม...แสดงว่า การเดินที่ผ่านมานั้น ...เหมือนไม่เคยเดิน คิดแบบนี้ได้มั้ยครับ

แสดงว่า จุดที่เกิดขึ้น กลับ จุดที่ดับไป ...เป็นจุดเดียวกัน...มันรวมการ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป...ที่จุดเดียวกัน....รวมเอาไว้ ที่ จุดเดียว....จุดเดียว ..คิดแบบนี้ ได้มั้ยครับ

แล้ว ในโลกเรา ทุกชีวิต เช่น มนุษย์เรา.....ร่างกาย มนุษย์เรา...ถ้าเปรียบเหมือน จุดเดียว ที่ รวมเอาไว้ทั้ง ...เกิดขึ้น ตั้งอยู่ดับไป...รวมเป็นจุดเดียวทั้ง อดีตปัจจุบันอนาคต.....ในร่างเดียว สมมุติเดียว ชีวิตเดียว....ผมคิดแบบนี้ได้มั้ยครับ

ดังนั้นมนุษย์ที่มีชีวิตเดียว ร่างเดียว จุดเดียว แต่ ก็รวมไตรลักษณ์ คือ
รวมเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป ในร่างเดียวจิตเดียว
รวมอดีตปัจจุบันอนาคต ในร่างเดียวจิตเดียว
รวมนรกโลกสวรรค์ ในร่างเดียวจิตเดียว.......จุดเดียว

จุดเดียว คือ อัตตา ที่เกิดบน อนัตตา......รวมลงมาที่จุดเดียว จุดเกิดคือจุดจบ...

แสดงว่า สิ่งมีชีวิต หรือโลก ที่เปลี่ยนได้ ไม่เที่ยง ที่เคลื่อน ที่ ตลอดเวลานั้น...มีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป...มีแต่ในโลกเท่านั้น....แสดงว่า ความจริง สิ่งนี้ มันมีแสดงอยู่ที่เดียวคือโลก ไช่มั้ยครับ โลกคือที่แสดงไตรลักษณ์ได้ แสดงว่าความจริงนี้ แสดงอยู่ มีอยู่ และเรียนรู้ ได้ เฉพาะในโลกนี้ เท่านั้น ไช่มั้ยครับ
โลกเท่านั้นที่แสดงธรรม โลกเท่านั้นที่เคลื่อนไหว....ความจริงที่แสดง แสดงได้ ที่โลกเท่านั้น..ดังนั้น พระพุทธเจ้า จึง ตรัสรู้ ในโลก...คิดแบบนี้ ได้มั้ยครับ
ภพภูมิอื่น มีแต่นาม ที่แสดง ที่เคลื่อน เช่นเทวดา....เกิดแค่นาม เกิดเป็นรูปร่างเลย พอหมดบุญหล่อเลี้ยงก็ดับ นามเลย ..หายวับ...ไม่ได้แสดง รูปที่เคลื่อน ไม่สามารถสัมผัสรูปธรรม ตรงนี้...เลยไม่เห็นธรรมตรงนี้ คิดแบบนี้ ได้มั้ยครับ
ดังนั้นแล้วความจริงของรูปนาม ธาตุ 4 ขันธ์ 5 จึงสามารถ รับรู้ และเรียนรู้ได้ และเข้าใจได้ ก็แต่ในโลกนี้เท่านั้น คิดแบบนี้ ได้มั้ยครับ


ดังนั้นการรู้ธรรม ความจริง ของไตรลักษณ์นี้ จึงมีแต่ในโลก กับ มนุษย์เท่านั้น ไช่มั้ยครับ
และรูปนามที่จะรู้ธรรม ความจริง ในสิ่งที่ไม่เที่ยง ในสิ่งที่เคลื่อนอยู่ทั้งหลาย ต้องเป็นรูปนามที่ หยุดแล้ว สงบแล้ว นิ่งแล้ว ไม่วิ่งแล้ว จึงจะสามารถ มองเห็น สิ่งที่เคลื่อน สิ่งที่ไม่นิ่ง สิ่งที่ไม่เที่ยง ว่า มันล้วนแล้วแต่ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ดับไป ด้วยกันทั้งสิ้น..แสดงว่า ถ้า จุดเดียว ชีวิตเดียว จิตเดียว นิ่ง สงบ ไม่หลง ไม่เผลอ ไม่เคลื่อน ....จุดเดียวนี้ ก็จะ เห็นความจริงของทุกสิ่งในโลกที่มันเคลื่อนอยู่ ไม่นิ่งอยู่ ไม่เที่ยงอยู่ และจะเข้าใจไตรลักษณ์ เข้าใจธรรม เข้าใจความจริง....จะได้ เข้าใจเหมือนที่เจ้าชายสิทธัตถะ เข้าใจนั้น...คิดแบบนี้ ได้มั้ยครับ

ความไม่ประมาท

ความไม่ประมาท

ความไม่ประมาท....คือ....การมีสติ ระวัง ป้องกัน ดูแลตนเอง ให้ทั่ว ทั้ง หน้า หลัง ซ้าย ขวา บน ล่าง ...มีสติอยู่กับตัว จะได้ไม่เผลอ ไม่หลง ไม่พลาด...ไปกับสิ่ง ที่เคลื่อนอยู่รอบตัว กับสิ่งที่มองไม่เห็น กับสิ่งที่ไม่คาดคิด...กับสิ่งที่ไม่เที้ยงทั้งหลายในโลก


เช่น คนเรา ไม่รู้หรอกว่า ตนเองจะหิว เวลาใด คนอื่นจะหิวเวลาใด ลูกเมียจะหิวเวลาใด ญาติพี่น้องเพื่อน จะหิวเวลาใด....แต่ถ้าตัวเองไม่หิว เราก็ไม่สนใจไม่เตรียมพร้อม ไม่สะสมอาหาร ไม่รอบคอบ ไม่ป้องกัน วันที่ขาดแคลน....ไม่เพื่อตนเองและเพื่อคนอื่น
ความป่วยไข้ไม่รู้ จะเข้ามาตอนไหน ความเจ็บไม่รู้จะเข้ามาตอนไหน ความตายไม่รู้จะเข้ามาตอนไหน ความหิวไม่รู้ มันจะเข้ามาตอนไหน....ไม่รู้ว่าสิ่งเหล่านี้ มันเข้ามาที่ตัวเรา หรือ ลูกเมียเรา ญาติเรา เพื่อนเรา....ตอนไหน..เราก็เลยไม่สนใจ

แต่เมื่อสิ่งเหล่านี้มาถึง ความหิว ความเจ็บป่วย ความตาย ถ้าเราไม่พร้อมก็จะเกิดทุกข์กับมันได้...ถ้าเราไม่หิว เราไม่เจ๊บป่วย เราไม่ตาย...เราไม่ทุกข์หรอก....แต่ถ้า เป็นลูกเมีย ญาติพี่น้อง เพื่อนเรา พากันหิว พากันเจ็บป่วย พากันตาย...ถ้าเราไม่รับรู้ก็คงไม่เป็นไร แต่ถ้า ทุกข์ของพวกเขาเหล่านี้ เราเกิดรับรู้ พวกเขามาหาเรา หวังพึ่งเรา หวังอาศัย ข้าวปลาอาหาร น้ำ ยารักษาโรค ความคุ้มครอง จากเรา...อยากให้เราช่วย....ถ้าเราช่วยไม่ได้ ก็ต้องทุกข์กันทั้งสองฝ่ายกันเลยทีเดียว......นี่เอง เพราะ ไม่เตรียมพร้อม เราประมาทคนเดียว ตายทั้งกลุ่ม....

แล้วถ้าเรา มีอาหารเหลือ ยารักษาโรคเหลือ มีการเตรียมพร้อม สะสม เพื่อเอาไว้ ดับทุกข์ ของคนอื่นล่ะ...เมื่อเราช่วยให้คนอื่นพ้นทุกข์ จาก ความหิว ความเจ็บป่วย พ้นจากความอดตาย ได้ล่ะ....เมื่อเราช่วยพวกเขา พวกเขาก็ จะ เป็นมิตรกับเรา ไว้ใจเรา เชื่อใจเรา และ ให้ใจซึ่งกันและกัน...เป็นกัลยาณมิตรต่อกัน

เวลาเราอยู่ร่วมกัน รวมกันอยู่ ความสามัคคี ย่อมเกิด...น้ำใจไมตรี การดูแลเอาใจใสในกันและกัน ห่วงใยดูแลทุกข์สุข ให้กันได้ อาศัยพิ่งพิงกันและกันได้ เหมือนญาติพี่น้อง ..ดังนั้น เมื่ออยู่ร่วมกัน ก็จะ สามัคคีกันทั้งหมู่คณะ...ไม่ต้องเหมือนอยู่ตัวคนเดียว เป็นเหมือนพี่น้อง ญาติกัน ครอบครัวเดียวกัน....ทุกคนก็สบายใจ ไว้วางใจกัน ทุกคนก็จะมีสติอยู่กับ ปัจจุบัน ที่เห็นอยู่ตรงหน้า ของตนเอง ไม่ต้องมาห่วงหน้า พะวงหลัง ไม่ต้อง ระวัง หลัง ซ้าย ขวา บน ล่าง หรือ แม้แต่ข้างหน้า ก็มีเพื่อนที่ดี คอยดูแลเอาใจใส่ห่วงใยกันและกัน

ซึ่ง อยู่กันแบบ ไว้วางใจ สบายใจ ไม่ต้องระวังอะไร ไม่ต้องพะวงอะไร ไม่ต้องห่วงอะไร
สบายกาย สบายใจ....ไม่ต้อง ระวัง

ไม่ต้องระวัง

ไม่ต้องระวัง

ความไม่ประมาท ของ ผม คือ ไม่ต้อง ระวังอะไรเลย...ปลอดภัย สบายกาย สบายใจ ได้แล้วนั่นเอง....เลยพ้นจากความไม่ประมาท และ ประมาท

วันพฤหัสบดีที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2554

รูปภาพเพิ่มนะครับ




ขออธิบายภาพนี้ นะครับ ..จะเห็นว่า ภาพวงกลมตรงกลาง คือ ปัจจุบันที่ต้องมีสติรักษากายใจ มีสติอยู่กับ ปัจจุบัน ด้วยสติ ที่ เต็ม ร้อย บริบูรณ์...ไม่ต้อง แบ่งสติ ส่งสติ ไปคิด ถึงเรื่องที่ยังมาไม่ถึง เรื่องของอนาคต....เพราะ อนาคต คือ สิ่งที่บริสุทธิ์ ว่าง แบบ ไร้สมมุติใดใด...อยู่แล้ว

และ เมื่อเรา มีสติ รู้ ตื่น อยู่กับกรรม ของปัจจุบัน เต็มร้อย...เมื่อใดที่ปัจจุบัน ได้เลื่อน ได้ผ่าน ไปเป็น อดีตไปนั้น...เนื่องจากเราทำปัจจุบันเอาไว้ดีแล้ว บริสุทธิ์อยู่ เมื่อ ปัจจุบัน กลายเป็นอดีต...มันก็จะเป็นอดีต ที่ไร้รอยมลทิน ไร้ข่อบกพร่องใดใด ที่ ผิดพลาด ที่ต้องกลับไปแก้ไข ที่ต้องเก็บเอามาคิด ให้ เปลืองพื้นที่ของสมอง ให้เปลืองพื้นที่ของสติ ในปัจจุบัน...นั่นก็คือ อดีตเมื่อพ้นแล้ว พ้นเลย อดีตดีแล้ว...สติที่อยู่ปัจจุบัน ก็ไม่ต้อง แบ่งสติไปอยู่กับอดีต ...ไม่ต้องแบ่งความคิด ไปคิดกับเรื่องที่เป็นอดีต กับเรื่องที่มันผ่านไปแล้ว นั่นเอง...ดังนั้น...สติ หรือ การรู้ตัว หรือ ความคิด จึงยังคงอยู่กับ กายใจ ที่เป็น วันนี้ ที่เป็นปัจจุบัน อยู่ เต็ม ร้อย........ดังเดิม


ส่วนรูป ข้างล่างนั้น...ดูที่แถวปัจจุบัน หมายความว่า...ถ้าหากในใจเรา กรรมของเรา สติเราเผลอ พลาด ทำความไม่ดี ทำความผิดพลาด ทำไม่ดีพร้อม มีข้อบกพร่อง เกิดขึ้น ในกรรมทั้งหลาย ที่เป็นของวันนี้ ที่เป็นปัจจุบัน..ทำให้ เกิดสิ่งที่ไม่ดี 25 เปอร์เซ้นต์...แทนที่ปัจจุบัน จะดี ครบ 100 กลับ ดีแค่ 75..แล้วมีส่วนไม่ดี มาแทนที่ในหัวสมอง ในความคิด ในสติ ของเรา..25 เปอร์เซ็นต์.....อันความไม่ดี 25 ส่วน นี้แหล่ะ ...เมื่อ วันนี้ ปัจจุบันที่ พลาด แก้ไม่ได้ เมื่อมันผ่านพ้นไป กลายเป็น วันวาน กลายเป็นอดีต...มันก็เป็นอดีต ที่ดีไม่เต็ม 100 แต่กลายเป็นอดีต ที่มีข้อผิดพลาด หมองมัว มีข้อบกพร่อง..อยู่ 25 ส่วน ที่ แก้ไม่ได้ 25 ส่วนที่ไม่ดี ที่มีอยู่.....แต่ว่ามัน กลายเป็น วันวานกลายเป็นอดีตไปแล้ว....แต่ วันนี้ ปัจจุบันนี้ เราต้อง เจอกับ วันใหม่ เรื่องใหม่ แทนที่เรา จะ รับมือกับ วันนี้ ปัจจุบันนี้ ด้วย สติ ด้วยใจ ด้วยสมอง ด้วยความคิด ที่เต็ม 100 ก็ไม่ได้แล้ว....นั่นเพราะ อดีตที่รู้อยู่ว่ามันผิด มันไม่ดี มันยังไม่ได้ รับการแก้ไข ให้ ดีไม่ได้นั้น...มันมีอยู่ จำได้อยู่ รู้อยู่....การที่รู้อยู่จำได้อยู่ ว่ามันมีอยู่ นี่แหล่ะ....หมายถึง ในสมอง ในจิต ในใจ ในความคิด ของปัจจุบัน ที่ สติ ควรจะดีเต็ม 100 กลับ ลดลงเหลือ แค่ ดี 75 ส่วน อีก 25 ส่วน กลับไปติด อยู่กับอดีต 25ส่วนกลับไป จมปลัก ทุกข์ ติด อยู่กับ อดีต ที่มันผ่านมาแล้ว....ซะงั้น...สุดท้าย ปัจจุบัน สติ สมอง ความคิด ใจ ก็เลย กับมือกับ ปัจจุบันได้ ไม่เต็มร้อย ไม่ดีเต็ม 100 เท่าเดิม....พอรู้ว่า ตนเอง ปัจจุบัน ดีไม่เต็ม 100 ก็ เลยคิดอยากแก้ อดีต ...ก็เลย ส่ง ความคิด สติที่ดี ที่เหลือ อยู่ 75 นั้น ไปแก้ อดีต ที่ไม่ดีนั้น....แต่กลับเป็นการ ทำร้ายตนเอง เพราะ เมื่อ สติส่วนที่ดี 75 นั้น พอกลับไปคิด ถึง 25 ส่วนที่ไม่ดีเมื่อไหร่ ก็กลายเป็น เอาดี75 ไปเปลื้อน กับ สิ่งไม่ดี 25 นั้น ทันที กลายเป็น ...ไม่ดี 100 เปอร์เซ็นต์ ในทันที.....เพราะ ตอนที่ อดีตที่ไม่ดี 25 เปอร์เซ็นต์ นั้น ตอนที่มันเป็น ปัจจุบัน นั้น ท่านก็ ยังแก้ไม่ได้ ...ทั้งที่มันคือปัจจุบัน ปัญญา ยังแก้ไม่ได้...แล้ว พอมันกลายเป็น อดีต..ที่เป็น อกุศล อดีตที่ไม่ดี แล้ว...มันจะแก้ ได้ยังไงกันเล่า.....สุดท้าย อดีตที่เป็นอกุศล อดีตที่ไม่ดี ก็กลายเป็นเหมือน เจ้ากรรมนายเวร ที่..ส่งผล มาที่ปัจจุบัน....ทำให้ ปัจจุบัน ต้อง จมจ่อมกับ สิ่งไม่ดี ในอดีต แบบ แก้ไม่ได้ วางไม่ลง เอาไม่ออก เป็น สัญญา แห่งอกุศล ที่ เหมือนทำให้ ทั้งชีวิต ทั้งสติ ทั้งสมอง ทั้งความคิด ทั้งจิตใจ..ที่เป็นปัจจุบันนั้น เป็นทุกข์ ทันที....แม้จะ เหลือดี ถึง 75 ส่วน แต่ เมื่อ คิดถึง อดีต ที่ไม่ดี ที่เป็นอกุศล เพียง 25 ส่วน...ก็ ทำให้ ปัจจุบัน หมองเศร้า เปื้อน...กลายเป็น อกุศลทั้งหมด 100 เปอร์เซ็นต์ ไปเลย...ทุกข์เต็มๆ

และเมื่อทุกข์ กับอดีตที่แก้ไม่ได้ และ อดีตที่เป็นอกุศล ส่งผลทำให้ ปัจจุบัน ที่เหลือ 75 ส่วน ทุกข์ไปด้วย เปื้อนไปด้วย....ปัจจุบัน เลยไม่ดี กลายเป็น ทุกข์ เผาจิตใจ...สุดท้าย สมอง สติ ความคิด จิตใจ ก็พลอย...ไม่เอา ปัจจุบัน ไม่เอาอดีต....เพราะ เป็นทุกข์ ก็เลยหาทาง ทุกวิถีทาง เพื่อที่ กายใจ สติ สมอง ความคิดด จิตใจ และชีวิต....อยากหนี อยากทิ้ง อดีต กับ ปัจจุบัน ก็เลยส่งผลให้ ....กายใจ สติ ความคิด จิตใจ สมอง...ที่มีอยู่ ที่มีชีวิตอยู่ ...อยากไปให้พ้นๆ จากอดีต และ ปัจจุบัน ที่ จำได้ หมายรู้ สัญญาอกุศล ให้ได้....

คนเราเมื่อไม่พอใจอดีต ปัจจุบันของตนเอง....(แต่ยังไม่ตาย) หนีไม่ได้ หนีไม่พ้น ก็ เลย พากัน คิด..ถึง อนาคต(ที่ไม่ไช่ตัวตน ชีวิต ภพ ในปัจจุบัน) ก็เลย ส่งผลให้ สติ สมอง ความคิด จิตใจ...มัน สมุทัย ส่งออก(อยาก)...ในสิ่งที่เป็นอนาคต ที่ไม่ไช่ ชีวิต ที่เป็นอยู่ ที่ไม่ไช่ปัจจุบัน....ก็เลย พากัน ค้นหา อนาคต มาเพื่อ ดับทุกข์......ของอดีต ของปัจจุบัน....ค้นหาสิ่งที่ไม่มีในตน ในโลก...จากอนาคต หรือ ที่ไหนก็ได้...ที่ ไม่ไช่ของของตน ที่เป็นอยู๋ขณะนี้ มาดับทุกข์ ของปัจจุบันและอดีตที่ผ่านมา

และนี่เอง....คือ เมื่อ ไม่พอใจ อดีต ปัจจุบันแห่งตน..แล้ว เที่ยวค้นหา อนาคต ที่ ดี 100 ดีเต็มร้อย....เพราะ ไม่อยากเอา ไม่อยากยู่ ไม่อยากรู้ อดีตที่เป็นอกุศล 25ส่วน และ 25 ส่วนก็ ดึงให้ 75 ส่วนที่เหลือที่เป็นปัจจุบัน เปื้อนไปด้วย ทุกข์ไปด้วย..สุดท้าย ไม่ยอมรับ ปัจจุบันของตน...อยากหนีความจริง แห่งตน....ท่านก็ ยิ่ง ถลำลึก ห่างออกจาก ความจริง แห่งตน.....หาสัจธรรมแห่งตนไม่เจอสักที...เพราะ ตนเอง ไม่ยอมรับ ในสิ่งที่ตนเองเป็นอยู่ มีอยู่...ไม่ยอมรับกรรม ที่เป็น อดีต และกรรมที่เป็นปัจจุบัน

กลับแสวงหา อนาคต แสวงหา สิ่งที่ไม่มีในตน สิ่งที่ไม่มีในปัจจุบัน มาดับทุกข์...เช่นรอ หวัง กับ

อนาคต วันพรุ่งนี้ ที่ยังมาไม่ถึง ชาติหน้า..ภพหน้า...สิ่งเหล่านี้ ที่ไม่มีในตนที่เป็นปัจจุบัน นี่ หรือ จะมาช่วยดับทุกข์ กับเรื่องที่เกิด กับปัจจุบันได้

เช่นถ้าตอนนี้ เราหิวข้าว....ไปขอเพื่อน เพื่อนบอกว่า...พรุ่งนี้ เพื่อน ถึงมีเงิน..แล้ว มันจะได้กินหรือ ข้าว วันนี้....ทุกข์ของวันนี้ มันจะดับได้หรือ

อิอิ

ก็แค่ ยอมรับ ว่า อดีต ที่เป็น อกุศล นั้น เราทำเอง กรรมของเราเอง เป็นกรรมของเรา เราต้อง ยอมรับ กรรมที่มันส่งผล ให้ จิตใจ เป็นทุกข์นั้นได้
ต้องรับโทษแห่งกรรม แห่งตนให้ได้...เพื่อ จะได้ ไถ่โทษ...ให้หมด....

วันพุธที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2554

รูปภาพใหม่ เพื่อการศึกษาเพิ่มครับ เพิ่ม

รูปภาพใหม่ เพื่อการศึกษาเพิ่มครับ









เจ้าชายสิทธัตถะ...เคยมีรูปธรรม ที่ มากที่สุด สูงที่สุด ของความเป็นมนุษย์ ในโลก

แต่พอ ทิ้ง รูปธรรมเหล่านี้ แล้ว...ก็ไช่ว่า จะ ตรัสรู้ได้เลย


ท่านก็ได้ ลองทุกวิธีทาง ลองทุกสำนัก ...ลอง รับทุกขเวทนา ทุกอย่าง ..อย่างแสนสาหัส ในแบบที่ คนเรา ทั้งหลาย ยากที่จะทำได้ และ ทดลอง ได้ เหมือนที่ท่านทำ ท่านกล้าทำ กล้าเอา ตนเอง ทดลองเอง ด้วยตนเอง เพื่อ รู้ทุกอย่าง..ไม่ต้อง อาศัยใครเลย

สุดท้าย......พิณสามสาย คือ อะไร ...ก็เข้าใจได้ด้วยตนเอง
..............การเอาชนะพญามาร คืออะไร ก็ เข้าใจด้วยตนเอง
..............การตรัสรู้ รู้ ความจริง คืออะไร ด้วยอะไร ก็ ....ด้วยตนเอง
..............
ตรัสรู้ แล้ว นั่งพิจารณา ปัญญา ของสัตว์โลก ทั้งหลาย ว่า จะ เข้าใจ ในสิ่งที่เจ้าชาย เข้าใจนั้น.....มัน ไม่ง่ายเลย....นั่งพิจารณา...อยู่ นาน เกินที่มนุษย์คนใด จะนั่งพิจารณาได้ โดยไม่กิน ไม่นอน อยู่ ถึง 49 วัน....(ยังรอด)..คงไม่มีใครทำได้

.........
สุดท้าย เพราะข้าว มธุปายาส...เพียง ก้อนเดียว.....นี่แหล่ะ
จึงทำให้ ท่าน....ต้องเมตตา คนอื่นด้วยเมตตาของท่าน.....นั่นเพราะ คนอื่น ที่จริงแล้วนั้น คนเหล่านี้ คนที่ยังมีความเมตตา ในใจนั้น ยังมีอยู่ คนที่เขา ให้ทาน แก่ผู้อื่น ด้วยใจ นั้น ยังมีอยู่.....เราจะเอาสิ่งนี้แหล่ะ...เราจะลองเอาเมตตา ศรัทธา จากผู้อื่นนี้แหล่ะ...เป็นเชื้อ เป็น ประตู เป็นสายใย เพื่อ นำเมตตาในตน ไปสงเคาระห์ ต่อเชื้อ เมตตา ของคนเหล่านั้นได้....ใครไส่บาตร ทำทานด้วยใจ...เขาคือ ผู้ที่ก้าวผ่านสมมุติ ในใจของเขาในเรื่องนั้นๆ ได้
เขากล้าสละรูป เขาก็ จะได้นาม......กล้าสละสมมุติ ก็จะได้ สัมผัส วิมุติ....เขาบริจาคทาน ด้วยเพราะไม่เอาอะไรเลย เขาก็จะได้สัมผัส กับ ความไม่มีอะไร เขาก็จะได้ สัมผัส ความหลุดพ้น จาก สมมุติ ด้วย กรรม ที่เขาทำ

ใครดี...ย่อมมีดี ใครทำดี ย่อมได้ดี.....คนดี ความดีของเขา ย่อมนำพา พวกเขาเหล่านั้นพบกับ ทางที่ดี สิ่งที่ดี ชีวิตที่ดี ความปรารถนาที่ดี แน่นอน
คือ รูปภาพที่ อธิบาย แทน ...เส้นทาง ของการคิด เส้นทางของการค้นหา...อะไรก็ได้ ที่ ไม่มีในตน ไม่มีในโลก ไม่มีในปัจจุบัน ของตน.....เพื่อ นำสิ่งเหล่านั้น มาดับทุกข์ ที่เกิดขึ้นมาแล้ว กับอดีต และ ปัจจุบัน ที่ทุกข์อยู่ หรือ ปัจจุบัน ที่....ไม่ชอบ ไม่พอใจตนเองเหลือเกิน ทุกข์ กับ ตนเองเหลือเกิน ทุกข์ กับ ธาตุ 4 ขันธ์ 5 ที่ มีอยู่ในตน นี้เหลือเกิน
....

แต่การแสวงหา ...กลับเป็นการ แสวงหา สิ่งที่ ไม่มีในตน...เพราะคิดว่า สิ่งที่ตนมี ตนเป็น ตนรู้ ...คือ เหตุแห่งทุกข์ คือ ตัวทุกข์.....อยากทิ้งอดีต(สัญญา ความจำได้หมายรู้ กรรมอกุศลเก่าทั้งหลาย) อยากทิ้ง ปัจจุบัน...เพราะ ปัจจุบันก็ ทุกข์ กับ อดีต ทุกข์มันมาจากอดีต กรรมเก่า นี่เอง เมื่ออดีต ส่งผล ก็ทำให้ ปัจจุบัน ทุกข์ด้วย
....
สุดท้าย...ลบอดีตไม่ได้ ลืมสัญญาไม่ได้...ก็เลย เที่ยวค้นหา ..อนาคต สิ่งที่ยังมาไม่ถึง (ความคิด จินตนาการ ถึงสิ่งที่คิดว่า ดีกว่า ตัวตนในปัจจุบันที่เป็นอยู่ มีอยู่).....แต่คิดให้ตายยังไง ...มันก็ อนาคตที่ คิด ดีนั้น ก็เข้ามาอยู่ กับ สิ่ง ที่เป็น ปัจจุบันไม่ได้ เลย...เพราะ มันคือสิ่งที่ เป็น อนาคต.....ทุกคนก็รู้ว่า ....อนาคต จะดีได้ เป็นเพราะ ...กรรมดี ของ ปัจจุบัน เท่านั้น ที่ส่งผลให้ อนาคต ดีได้ และ ส่งผล มาเป็น ปัจจุบันที่ดีได้

ปัจจุบันดี...อนาคต ก็ต้องดี....แต่บังอิญ ปัจจุบันไม่ดี ปัจจุบันทุกข์ อดีตไม่ดี อดีตทุกข์...แล้ว สิ่งที่หวัง ว่า อนาคต ที่ดี จะมาเป็น ปัจจุบันที่ดี และ อดีตที่ไม่ดีนั้นกลับมาดีได้ ต่อจากนี้ไปนั้น...ดูเหมือน จะเป็นไปไม่ได้เลย....ทั้งหมดทั้งมวล มันมีอยู่ ในสติ ในสมอง ในจิตใจ ในความคิด....นี่เอง

แต่ทำไม ...คนเรา แก้ไข ความคิด ลบความคิด เอาชนะความคิด...ปล่อยวางความคิด ไม่ทุกข์กับความคิด....กัน ยาก เหลือเกิน

ยากนี่ เพราะ...ทำผิดวิธี หรือเปล่า....หรือ เพราะ ความไม่รู้....อ้อ อวิชชา ความไม่รู้...นี่เอง

มันเลย พ้นทุกข์ จาก สติของตน หัวสมองของตน ความคิดของตน จิตใจของตน...ไม่ได้ สักที

เฮ้อ...น่าฉงฉาน กันจัง

รูปภาพใหม่ เพื่อการศึกษา






ความเมตตา ในใจตนเอง ของ ทุกคนนั่นแหล่ะ....มันคือ ความดี กุศล ที่เป็นเชื้อ แห่งความดี นำพา ตัวท่านเอง ให้ได้พบกับ.....ศาสนาพุทธะ.....
แต่ไม่ได้หมายความว่า.....เส้นทาง มันจะง่าย โดย นั่งเฉยๆ แล้วเข้าใจ มันมาได้ ...ไม่

...
การทำทาน ความเมตตาที่ท่าน มีกับผู้อื่น...มันแค่ เป็นเหมือนกุญแจ เปิดประตูใจ ของท่านเท่านั้น.....เป็นแค่ กุญแจแห่งศรัทธา เพื่อ ...เปิดประตู บานแรก เท่านั้น

เพราะว่า...ความตั้งมั่น ความเพียร ขันติ ...เส้นทางที่ท่านต้องเดิน สู่ ความจริงนั้น...มัน ต้องแลกด้วย สมมุติ ทั้งหมด ที่ท่านมี.....

ท่านต้อง เชื่อ และศรัทธา...จากในหัวใจ ของตัวท่านเอง โดยหามีใคร บังคับ ข่มขู่ หรือ หลอกลวง ให้ ท่าน เชื่อ หรือ ศรัทธา ...ด้วย เล่ห็กลใดใดไม่

วัดศรัทธา...ด้วยใจ ล้วนๆ...นั่นก็คือ..ยอมสละทั้ง ชีวิตและจิตใจ..เท่านั้น

ทาน ศีล ภาวนา

ศีล สมาธิ ปัญญา

1.ละชั่วคือ ละเส้นทาง ที่ร้อนๆ 2.ยึดมั่นทางกุศล คือ หาเส้นทาง ที่ร่มเย็น 3.ชำระจิตของตนให้ พ้นจาก สมมุติ ทั้งปวง..พ้นจาก อุปทานใจทั้งหลาย ให้ได้
ความเป็น มนุษย์ ผู้ประเสริฐ ก็คือ เป็นพุทธะ....ผุ้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน...ด้วย ใจ

ทำปัจจุบันให้มันดีพร้อม 100 เปอร์เซ็นต์ ด้วย สติที่ฝึกมาดีแล้ว...ไม่หลงโลก ไม่หลงสมมุติ ไม่หลง ดี ชั่ว ไม่หลงอุปทานใจ ทั้งหลาย....


เมื่อ ปัจจุบันดี ปัจจุบันที่ดี กลายเป็นอดีต ก็ จะเป็น อดีตที่ดี.....ปัจจุบัน ดี คือ เหตุปัจจัย ที่ ส่งผล ให้ อนาคต ดีแน่นอน......เมื่อไม่ทุกข์กับ ...อดีต ปัจจุบัน อนาคต...ได่ ก็ แสดงว่า ท่าน เป็น ผู้ ไม่ทุกข์ ไปกับ ...อดีต ปัจจุบัน อนาคต....อีกแล้ว

ท่านไม่ทุกข์กับ ....อดีต ที่ไม่เป็นนรก.....ปัจจุบันที่ไม่เป็น นรก....แต่เป็นปัจจุบันที่เป็นดั่งสวรรค์บนดิน ชีวิตจิตใจ โลกที่สวยงาม.....ดังนั้น เมื่อปัจจุบัน ดีแล้ว สมบูรณ์แล้ว....พอเพียง สุขแล้ว...อนาคตหรือ จะต้อง ขวนขวย อีก ทำไมเล่า.....เมื่อปัจจุบัน อิ่มแล้ว ไม่หิวแล้ว ก็ไม่ต้อง...คิดหา ค้นหา วิ่งไล่....ให้ เสียเวลาที่สุข อยู่กับปัจจุบัน

นี่แหล่ะ คือ ผู้ ที่ไม่ทุกข์กับ อดีต ปัจจุบัน อนาคต....ไม่มีนรกในอดีต ไม่หวังสวรรค์จากอนาคต....มันก็คือ ปัจจุบัน ที่ ดีแล้ว......เรียกว่า...ประเสริฐ แล้ว นี่เอง

นี่แหล่ะ พุทธะ...ผู้รู้ ผู้ ตื่น ผู้เบิกบาน....ผู้ ชนะ สามโลก
รูปใบนี้....แสดงถึงว่า มีหลายๆ คน ที่ มีสภาวะจิต...เข้าถึงความเป็นอรหันต์...ตรงนี้ อยู่กับสภาวะนี้

แต่ไม่รู้ว่า....จะ จัดการ กับ...วิญญาณ สังขาร สัญญา...สิ่งที่รู้ ตัวรู้ สิ่งที่คิด ตัวที่จำ ตัวที่ไม่ลืม สิ่งที่มี อัตตาตัวตน ที่มองไม่เห็น ความอยากที่มองไม่เห็น ..เหล่านี้ได้ยังไง


.....
ตรงนี้แหล่ะ....ใจไม่เปิด ศรัทธาไม่มีจริง.....ถ้าไม่เก่งเท่าพระพุทธเจ้า....อย่าคิดว่า จะทำเอง ได้ง่ายๆ เลย.....ตราบใดที่ ตนเองเก่งอยู่....ตนเองจะทำเอง ตนเองจะอยากรู้เอง...ก็จงทำไปเถอะ คงจะ..ได้คำตอบอยู่หรอก....

เพราะ ถ้าคิดเช่นนี้....ก็คงไม่มี คำว่า..ตถาคต..(แปลว่า ผู้ ชี้ ผู้ บอกทาง) ..หรอกมั้ง...ถ้าคิดจะทำเอง ค้นหาด้วยตัวเอง....คำว่า ผู้ชี้ทาง ผู้ บอกทาง...ก็ ดูเหมือน ว่า จะไร้ค่า ไร้ราคา เพราะท่านไม่ได้ ศรัทธา อะไร กับ ตถาคต....ของท่านเอาเสียเลย

ในการเดินทาง....ถ้าไม่ให้ความสำคัญ กับ ข้อมูลจากคนอื่น แผนที่ เส้นทาง และ ป้ายบอกทางแล้ว....ท่านจะงมหาเข็มในมหาสมุทรด้วยตัวเอง ก็ ไม่มีใครว่าท่านหรอกครับ เชิญตามสบาย

ถ้าคำว่า ตถาคต ไม่จำเป็น ไม่ต้องมี ....นั่นคือ ท่าน ไม่ได้ ศรัทธา...ต่อ ศาสดา..ของท่านเลย....

พวกท่าน ก็เลย ไม่เคย...เห็น ตถาคต....กับเขา จริงๆ สักที

ผู้ใดเห็นธรรม ผู้ นั้นเห็นเรา ตถาคต......อ่านกลับว่า....ผู้ใดเห็นตถาคต เชื่อ และศรัทธา ตถาคต ผู้นั้น ก็เห็นธรรม รู้ธรรม เช่นเดียวกับ ตถาคต.......แน่นอน

เอวัง..

รูปพระอาทิตย์ทรงกลด






วันจันทร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2554

รูป ภาพ เพื่อความบันเทิง


กรรมใครกรรมมัน

ดังนั้น นิพพานของ สาวกภูมิ ทั้งหลาย นิพพานของอรหันต์ทั้งหลาย จึงไม่ไช่นิพพาน ในแบบของ พุทธภูมิ

นิพพานในแบบของพุทธภูมิ มันจะ เด่นชัดโดยทั่วหน้า ก็ ยุคพระศรีอาริย์ โน่นแหล่ะ


สมัยพุทธะ 5000 ปีนี้ ...นิพพานในแบบสาวกภูมิก็เอาเถอะ พอใจเถอะ...แล้วค่อยไป พบพระศรีอาริย์กันโดยทั่วหน้า..

พวกท่านอย่าได้พากันสงสัยในความเป็นพระพุทธเจ้า อย่าสงสัยในธรรมของพระพุทธเจ้า
จงพากันเรียนรู้ ความอยากของตนเอง ว่าเมื่อไหร่จะพอ เมื่อไหร่จะหยุดได้เสียที

แต่ผู้ที่เรียนรู้ธรรมจากพระมาแล้ว...ท่านต้องบวชแน่นอน ไม่งั้น จะเอาความรู้ที่มี ความสงสัยที่ได้ ออกได้ยังไง

ท่านต้อง มอบกายถวายชีวิตนี้แด่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แน่นอน....เพราะเป็น ฆราวาสอยู่ดีไม่ว่าดี อยากเรียนธรรมที่เป็นของ สาวกภูมิ อยากเรียนธรรมะที่เป็นของสมมุติสงฆ์

คนธรรมดา พระพุทธเจ้าท่านให้เอาธรรมะ มาใช้ในชีวิตประจำวันเลย ไม่ได้ ให้พากันไปเรียน สักกะหน่อย

เฮ้อ...นี่แหล่ะ ความอยาก ล่ะ

อย่างตัวหนังสือ ให้เอามาใช้เลย...เรียนรู้การใช้เลย ไม่ได้ให้ ไปสงสัย ว่า ตัวหนังสือเกิดมาได้อย่างไร
โทรศัพท์ ก็ เรียนรู้การใช้เลย ไม่ต้อง ไปสงสัย ว่าทำมายังไง สร้างยังไง....อยากรู้กันจัง
รถ ก็ให้เอาเรียนรู้การใช้งาน ขับให้เป็น ไม่ไช่ ..มาสงสัยว่า รถสร้างมาได้ยังไง มันทำงานยังไง..ตกลง อยาก อีกแล้วสินะ

นี่แหล่ะ อยาก อยาก อยาก....แต่ไม่พากัน เห็นโทษของการอยาก......อิอิ เชิญอยากให้พอก็แล้วกัน

วะฮ่าฮ่า

ภูมิอรหันต์ ภูมิพุทธะ

ธาตุทั้งหลาย..ดิน น้ำ ลม ไฟ

ทำไมพุทธองค์ ถึงสอนให้อยู่กับลม อยู่กับ อานาปาณสติ


เพราะรู้ลม คือ รู้ ความละเอียดของความว่าง ลมคือแก่นของสรรพสิ่ง....สรพพสัตว์ ถ้าขาดข้าว 3 7 วันก็อยู่ได้ ขาดน้ำ 2 3 วัน อาจไม่รอด แต่ถ้าขาดลม..วินาทีใด ดับทันที
การเจริญสติ ด้วยการรู้ลม ก็คือ รู้ทุกอย่างที่ ลอยอยู่บนลม อาศัยลม ...ดังนั้น ลมคือตัวหล่อเลี้ยง สมมุติทั้งหลาย ที่ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป....ไตรลักษณ์ทั้งหลาย ล้วนถูกรองรับด้วยลม

ถามว่าอะไร คือ สิ่งที่สามารถ ตอบคำถามเราได้ทุกอย่าง....มันคือ ลม ลมคือ กุญแจ คือเส้นทาง เข้าสู่ สรรพสิ่ง ดังนั้นพุทธองค์เลยให้ มีสติอยู่กับอานาปาณสติ...อยู่กับลม

พระพุทธเจ้า ท่านมาจาก ความเป็นกษัตริย์...ความเป็นกษัตริย์ของท่าน ล้วนมีครบทุกอย่าง ในทางโลกธรรม ในทางรูปธรรม ไม่ว่าจะเป็น สนม 6 หมื่น ปราสาทสามฤดู ข้าทาสบริวาร ไม่มีใคร ในโลกนี้ มีรูปธรรมได้มากมายเท่า กษัตริย์ แม้แต่ประธานาธิบดี ยังไม่ อาจมีเทียบเท่ากษัตริย์ เพราะ กษัตริย์คือพระเจ้าแผ่นดิน ของทุกอย่างที่ตั้งอยู่บนแผ่นดิน ล้วนเป็นของพระเจ้าแผ่นดิน หรือ กษัตริย์พระองค์นั้น ทั้งหมด ทั้งสิ้น แม้แต่ ชีวิต ของ ประชาชน และ พื้นดิน

เจ้าชายสิทธัตถะ ท่าน มีทุกอย่าง เทียบเท่า จักรพรรดิเลยทีเดียว...มีรูปธรรมมากที่สุด กว่าใครใครในโลก ก็คือ ความเป็นกษัตริย์ ไม่มีใครมีรูปธรรมได้มากเท่าความเป็นกษัตริย์ แต่ท่าน ก็ยอมทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นรูปธรรมเพื่อค้นหา นามธรรม....

ดังนั้น เมื่อท่านละ ออก จากความเป็นกษัตริย์ มาเป็นพระพุทธเจ้า รู้พุทธะ
คนธรรมดาที่ไม่เคยเป็นกษัตริย์ เลยไม่รู้ ความเป็นพุทธะ ที่เจ้าชายสิทธัตถะ รู้นั้น
อรหันต์ เป็น สาวกภูมิ เท่านั้น ไม่อาจรู้ พุทธะ ที่ เจ้าชายสิทธัตถะรู้
นิพพาน เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้า สร้างมา อรหันต์ก็เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าสร้างขึ้นมา
ดังนั้น สาวกภูมิเหล่านี้ จะไม่มีสัน รู้ พุทธะภูมิ ที่เจ้าชายสิทธัตถะรู้ได้เลย

สมัยพุทธองค์พระเจ้าพิมพิสาร ที่เป็นกษัตริย์ยังต้อง มากราบพระพุทธเจ้า เพราะอยากรู้ในส่วนที่เป็นนามธรรม กษัตริย์ยังกราบพระ พ่อแม่ยังต้องกราบลูกที่เป็นพระ
เพราะ ทุกคนต้องการรู้ ในส่วนที่เป็นนามธรรม ความเป็นพุทธะที่พระพุทธเจ้าท่านรู้

คนที่ไม่เคยเป็นกษัตริย์ จะไม่รู้ ความคิดของกษัตริย์ จะไม่รู้ ว่าการมีทุกอย่าง เป็นเช่นไร
คนธรรมดาจะรู้ในสิ่งที่กษัตริย์รู้ไม่ได้ เพราะไม่เคยเป็นกษัตริย์ แต่เจ้าชายสิทธัตถะ ท่านทิ้ง สิ่งที่เป็นที่สุดของโลกได้...ท่านทิ้งสมมุติทุกอย่างได้ ไม่ว่า เงินทอง ความร่ำรวย กษัตริย์ไม่มีความต้องการ ทางรูปธรรมอีกแล้ว เพราะความเป็นกษัตริย์มันมีครบทุกอย่างแล้ว
ดังนั้น ท่านจึงละทิ้ง ส่วนที่เป็นรูปธรรมได้ เพื่อ ค้นหา นามธรรม

คนทุกคนต้องการรู้ ในส่วนของนาม จึงต้อง มีการ ทำบุญ ปฏิบัติ เดินทาง ไล่ตามความอยาก เพื่อต้องการ รู้ในส่วนที่เป็น นาม แม้แต่พระอรหันต์ยังไม่รู้ในสิ่งที่พระพุทธเจ้ารู้

ก็เลยพากัน ทำบุญ ปฏิบัติธรรมเพื่อรู้ ...ทำ ทำ ทำ ปฏิบัติ ปฏิบัติ ปฏิบัติ
ภูมิสาวก ทั้งหลาย จะไม่มีวัน เข้าใจ ภูมิของพุทธะ....เพราะ มันเป็นภูมิของ คนบางคนเท่านั้น คนทุกคน คนหลายคน เป็นเจ้าชายสิทธัตถะไม่ได้ เป็นกษัตริย์ไม่ได้ ถึงเป็นกษัตริย์ แต่ไม่ได้เป็น เจ้าชายสิทธัตถะ...ดังนั้น ทุกคน เป็นได้แค่ สาวกภูมิ...ควรเข้าใจ และพอใจ ใน ภูมิแห่งตน

จงเงยหน้ามองดูดวงอาทิตย์...ความจริงมันปรากฏอยู่ตรงหน้านั้นแล้ว...ใครบ้างคิดอยากเป็นดวงอาทิตย์ ทุกคน รับรู้ และเห็นดวงอาทิตย์กันหมดทุกคน แต่ไม่มีใครเอื้อมถึงดวงอาทิตย์ได้ แต่ทุกคนก็ได้รับรู้ การมีอยู่ ของดวงอาทิตย์ ดังนั้น ภูมิสาวก มีแค่ให้รู้ รู้ว่ามีอยู่
แต่ไม่ต้องคิดที่จะเป็น จงพอใจในตนเอง พอใจในสิ่งที่ตนเองเป็นอยู่ ให้ได้

เพราะพุทธภูมิ มันเลยคำว่า ว่าง เลยคำว่ารู้ เลยคำว่าอรหันต์ เลยความคิด เลยจินตนาการไปอีก เลยเรื่องของพลังงาน ดังนั้น ไอสไตล์จะคิดให้ตายยังไง ก็ไม่สามารถเข้าใจพระพุทธเจ้าได้หรอก

อย่างเช่นรูปภาพ ที่พวกท่าน ดูนั้น....รูปไม่ไช่ประเด็น แต่ประเด็นอยู่ที่คนวาด
ธรรมะของพระพุทธเจ้า ไม่ไช่ประเด็น ประเด็นมันอยู่ที่ คนรู้ธรรมนั้น ความเป็นพระพุทธเจ้านั้น คนธรรมดาอย่างเราเรา จะไปเปรียบกับความเป็นพระพุทธเจ้าได้อย่างไร...

ธรรมะเป็นเรื่องของพระสงฆ์สาวก พระไตรปิฏกเป็นตำราเรียนของพระสงฆ์สาวก ของคนที่มีศีล 227 ข้อ บริสุทธิ์ทั้ง รูปและนาม....คนธรรมดา แค่ ศีล 5 ศีล10 จะมีรูป ที่บริสุทธิ์ ที่สามารถรองรับ นามที่บริสุทธิ์ได้ยังไง

ดังนั้น ฆราวาสที่เรียน ธรรมะกับพระสงฆ์สาวก พระอรหันต์ท่านใด ท่านก็จะได้รับรู้นามแต่เพียงในส่วนนั้นๆ แต่รูปของท่าน ไม่ได้เป็นสมมุติสงฆ์ ไม่มีศีล 227 ข้อ ท่านก็จะไม่มีวัน เข้าใจได้ถึงแก่นแท้ของมันหรอก...เพราะท่านเป็นฆราวาสไม่ไช่พระสงฆ์ ดังนั้น มีอยู่สิ่งหนึ่ง ที่ ฆราวาสทั้งหลาย จะเข้าถึงธรรมตามอาจารย์ที่เป็นพระอรหันต์ได้ นั่นก็คือ เรียนวิชาตามพระ เรียนเรื่องของนามจากความเป็นพระ ทีสุดแล้ว ตัวท่าน ต้อง เป็นพระด้วย บวชด้วย เพื่อที่รูปนาม จะได้ สมดุลย์กัน เท่าเทียมกัน บริสุทธิ์เท่าเทียมกัน แล้ว ท่านถึงจะได้เข้าใจอะไรในบางสิ่งบางอย่าง ในความเป็นนามนั้น

เรียนตามพระ เรียนกับพระ....ท่านรับส่วนของนามจากพระมา ท่านต้อง ทำรูปของท่านให้ เป็นพระด้วย เพื่อ ความสมดุลย์ของรูปนาม เพื่อเข้าถึงนาม เข้าใจนาม

ฆราวาสที่เป็นชาย ท่านบวชได้
แต่ฆราวาสที่เป็นหญิง ถึงจะบวช ก็ไม่เหมือน พระพุทธเจ้าอยู่ดี เพราะ รูปท่านเป็นหญิง ...

ยกเว้นฆราวาสที่ไม่ได้เรียน วิชาพระ เช่น เรียนกับเจ้าแม่กวนอิม หรือ เข้าใจพระพุทธเจ้าว่าท่านไม่ไช่พระ ท่านเป็นเจ้าชายสิทธัตถะที่ ละทิ้งสมมุติทั้งปวงของโลก ได้แล้ว เป็นแค่คนธรรมดา...ท่านเห็นความเป็นธรรมดาในตัวพระพุทธเจ้าได้เมื่อไร ท่านก็ จะ เข้าใจเอง
ไม่ไช่ พากันยึดติดในความเป็น สมมุติของคำว่าพระพุทธเจ้า เพราะก่อนดับขันธ์ท่านก็สอนอยู่แล้วว่า อย่ายึดในความเป็นพระพุทธเจ้าของท่าน แต่ให้ยึดความจริง ยึดธรรม ยึดธรรมชาติ ที่ตนเอง เข้าถึง

ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา....แปลว่า ให้ รู้ธรรม รู้ธรรมชาติ เข้าถึงธรรมชาติ ความจริงในตน รู้ตน แล้ว รู้ พอ รู้ตัว หยุดอยาก
ไม่ไช่ให้ไล่ตามความอยาก อยู่ร่ำไป ไม่รู้จักพอ ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย จนไม่รู้ความทุกข์ของความอยาก ที่พากัน วิ่งไล่ตาม
ทั้งที่วิ่งไล่ยังไง ก็ไม่เคยได้มา ไม่เคยพอใจ กับ สิ่งที่ตนเอง ได้มาเลย

เช่นถามว่า คนตาบอด อยากขับรถ อยากขี่เครื่องบิน....ถึงเอารถมาให้ถึงหน้าบ้าน เอาเครื่องบินมาให้ถึงหน้าบ้าน..แล้ว จะขับยังไงกันเล่า
ต้องรู้ตัวเอง ว่า ถึงมีรถ มีเครื่องบัน แต่ความอยาก ของตน มันก็ สนองไม่ได้ ...นอกจากตายแล้วเกิดใหม่
ต้องดูตัวเอง รู้ตัวเอง พอที่ตัวเอง เอาที่มันเหมาะสมกับตนเอง ก็พอ

ภูมิสาวกก็ภูมิสาวก ภูมิพุทธะ ก็คือภูมิของพุทธะ
โยมเรียนกับพระ ได้อรหันต์พระ แต่ตนเองบริสุทธิ์ไม่พอ เรียนมาแล้ว....ก็(อันตราย) ท่านต้องบวช
ฆราวาสที่เป็นหญิง ที่เรียนอรหันต์ของพระ อรหันต์จากพระ...ท่านลองมองดูตัวเองสิครับ ว่าท่านจะบวชยังไง ก็ไม่เหมือนกับพระ(ผู้ชายที่บวช)สรีระร่างกาย มันไม่ได้...ถึงจะ ทู่ซี้บวชไปก็ไม่ได้รับคำตอบ ไม่อาจสนองความอยากของท่านได้

หญิงที่เรียนอรหันต์ของพระมาแล้ว ท่านต้อง มาทำยังไงก็ได้ ให้ท่าน ..ได้เกิดเป็นผู้ชาย ท่านถึงจะบวชแล้วเป็นพระสาวก ได้จริงๆ
อันนี้ สมการ มัน ยาก น่าดู

อิอิ

อริยะสัจ 4

1.ความปรารถนาที่แท้จริง ของการเข้ามาปฏิบัติธรรม ของตนเองคืออะไร ค้นหาให้เจอ
2.หาเหตุแห่งทุกข์ให้ได้ แต่อย่าพากันสงสัยในธรรมะ หรือธรรมชาติ


เพราะทุกข์อาจไม่ไช่ของเรา อาจเป็นทุกข์จาก พ่อแม่ ญาติพี่น้อง คนอื่น คนรอบข้าง (มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์)

หวัด ยังมาจากภายนอก ทุกข์ก็มีมาจากภายนอก จากคนอื่นได้เช่นกัน
หวัด ยัง ระวังป้องกันได้ แล้วทำไม ทุกข์(ความคิดอารมณ์) ของคนอื่น ถึงจะป้องกันไม่ได้

การฝึกธรรม เพื่อให้เข้าถึงธรรมชาติ ความว่าง ความไม่มีอะไร เมื่อฝึกจนว่างได้ จะรับอะไร ก็ได้เช่นกัน เช่น พ่อแม่ทุกข์ ลูกทุกข์ไปด้วย ...ลูกทุกข์ พ่อแม่ทุกข์ไปด้วย

ทุกข์เพราะสภาวะของคนอื่น อย่าเอาสภาวะของคนอื่น มาเป็นสภาวะของตัวเอง
การรับพลังงานนั้น เป็น หลักสูตรโดยตรงของ พุทธศาสนา

คนเรา ร่างกายจิตใจ ก็เปรียบเหมือน ..เครื่องรับรู้โลก และ ส่งออก สื่อสารกัน ..เหมือนสถานีวิทยุที่ เปิดรับคลื่น (สภาวะอารมณ์) ของคนในโลกไว้ตลอดเวลา ...แต่ที่เรารับได้ ก็รับได้ จากแค่คนที่เรารู้จักกัน เท่านั้นแหล้ะ ถ้าคนไหนที่เราไม่รู้จัก เช่น คนที่อยู่ขั้วโลกเหนือ รับรองว่า สภาวะอารมณ์ของคนที่เราไม่รู้จัก มันจะไม่เข้ามาหาเราแน่นอน เพราะ เขาไม่รู้จักเรา คิดถึงเราไม่ได้

ดังนั้น การ ที่ฝึกจิต จนสงบ จนว่าง จนเข้าถึง สุญญตา...ท่านก็จะเป็นคน ว่างมาก ดังนั้นการรับรู้สภาวะอารมณ์ จากคนอื่น ญาติ คนที่เรารู้จัก....มันจึงหลีกเลี่ยงมิได้
เมื่อคนเหล่านั้นทุกข์ มาคิดถึงเรา เราทุกข์ไปด้วย เมื่อคนเหล่านั้นเศร้า มาคิดถึงเราเราเศร้าไปด้วย..แต่จงจำเอาไว้ ง่ายๆ ว่า ...สภาวะอารมณ์เหล่านี้ ก็ เหมือน เชื้อหวัด ..ถ้าเรารู้ระวัง รักษา กายใจ ไม่ให้ ติดเชื้อ ...เราก็ ไม่ติดเชื้อ

ดังนั้น จง รู้ตนเอง รู้ตัว มีสติ ฝึกสติให้ดี....เพื่อ รู้จักระวัง รักษากายใจของตน ให้รอดพ้นจาก สภาวะอารมณ์ ของผู้อื่น ที่มาจากผู้อื่น ให้จงได้ แล้ว จะได้ไม่ติดเชื้อ

จะได้ไม่หลง ไปกับ สภาวะอารมณ์ของคนอื่น

จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด รักษาตนให้รอดพ้นจากทุกข์ภัย(สภาวะอารมณ์คนอื่น)..ทั้งสิ้นเถิด

สาธุ

ว่าด้วยอริยะสัจ 4

ทุกข์ ..อะไรกันแน่คือทุกข์..ตอบ อุปทานทั้งปวง อยาก ไม่อยาก ความคิด อารมณ์ กิเลส ตัณหา

เหตุแห่งทุกข์...อะไรคือ ตัวต้นเหตุแห่งอุปทานทั้งปวง
นิโรธ...คือ ผลแห่งการดับทุกข์....คือกายใจเป็นปกติ....เช่นเราหิวไม่ได้กิน เราหิวอย่างแรง เราเป็นทุกข์ เหตุเพราะ กายอยากกินข้าวขาดสารอาหารขาดพลังงานจากธาตุมาหล่อเลี้ยงร่างกาย ...เราได้กินข้าว เราสุขที่ได้กิน ที่จะได้หายหิว พอกินอิ่ม...ไม่หิว หิวหาย หายไปไหนก็ช่างมันเถอะ แค่ ไม่หิวก็พอแล้ว.....ร่างกายเราไม่หิว ถือว่าปกติ ตอนกินมีความสุขในการกิน ในการเสพ ...มีความสุข สมหวัง สมความปรารถนา ที่ได้กิน เพื่อให้ หายหิว......แต่เมื่อเราอิ่ม...กายใจเราปกติ..หิวหายทุกข์หาย ความสุขในการกินที่ผ่านมานั้น อย่ายึดติด.....ถ้าไม่ยึดติดความสุขในการกิน ในการเสพ....กายใจเราก็ถือว่า ปกติ ไม่มีอุปทาน ของกายใจ
...
ต้นเหตุแห่งทุกข์ ที่กายหิว...แต่ ใจหิวมาก พอกายได้กินได้เสพ...ใจสุขมาก ชอบมาก สมใจเอามากมาก...ถ้าไม่รู้จักพอ ก็ถือว่า ...ยึดติด เกิดอุปทาน เกินกาย ที่อิ่มแล้ว แต่ใจยังไม่ปล่อยวาง ความสุขในการกิน ในการเสพนั้น......ใจผู้ปรุงแต่ง คือ ตัวต้นเหตุแห่งทุกข์ทั้งหลาย
....
แต่วิธีการดับทุกข์ นั้น พุทธองค์ไม่ ชี้เอาไว้ เป็น เส้นทางที่ตายตัว ชี้เอาไว้ โดยรวมว่า มี เส้นทางแห่งการดับทุกข์เพื่อให้พ้นทุกข์อยู่ คือ โพธิปักขิยะธรรม 37 ประการ คือ ธรรมเครื่องนำพาให้หลุดพ้นจากทุกข์(ทุกข์จากใจ อุปทานใจ ความคิดทั้งหลาย)
....
รู้ทุกข์ รู้กิเลส รู้ตัณหา รู้อุปทานใจ.............โสดาบัน
รู้ว่าทุกข์เกิดจากใจ รู้ว่าตัณหาเกิดจากใจ รู้ว่าอุปทานเกิดจากใจ......สกิทาคา
....
แล้ว ฝึก สติปัฏฐาน 37 เส้นทาง เลือกเอา สัก 1 เส้นทาง สติปัฏฐาน 4 คือเส้นทางที่ลัดที่สุด สั้นที่สุด คือ ดูกาย ดูเวทนาสุขทุกข์ของกาย ดูจิต(ความคิดของใจ หรืออุปทานใจ) จนปล่อยวางกายใจได้ ถือว่า รู้ไตรลักษณ์....รู้โลก(กายใจรับรู้โลก) ปล่อยวางโลกได้ปล่อยวางกายใจได้ ไม่ทุกข์สุข ไปกับโลก ไม่ทุกข์สุขไปกับกายใจ ถือว่า ...กายใจเป็นปกติได้ เพราะเห็นไตรลักษณ์ เข้าใจไตรลักษณ์....เรียกว่า.....อนาคามีผล
.....
.....
ส่วนมรรค 8 คือ สัมมา.ทั้งแปด เป็น วิชาของ อรหันต์มรรค....เพื่อชำระ โลกุตรจิต(สังขาร วิญญาณ สัญญา...เช่น ความรู้ ความคิด ความอยาก ความไม่อยาก ความสงสัย อัตตา ตัวตน ที่ มองไม่เห็น....เช่น เข้านิพพาน รู้ว่าเข้า....อยู่ในแสงสว่างมาก รู้ว่ามีแสง...ตัวที่รู้ นี่แหล่ะ คือ อัตตาตัวตนที่มองไม่เห็น แต่มันยังแสดงออก มาทาง ความคิด ความรู้ ความอยาก ความไม่อยาก ความสงสัย ไม่รู้จักพอ ไม่รู้จักหยุด ไม่รู้จักเหนื่อย....หรือพูดง่ายๆ คือ ไม่รู้จักกรรม...กรรม ที่แท้จริง ยังไม่ยอมรับกรรม ไม่รู้ว่า กรรมมีผล ของมัน)

จุดนี้...มีคนหลายๆคนที่หลง เข้ามาแล้วไม่มีทางออก ไม่มีทางไป.....อิอิ
เข้าทางไหน ก็ออกทางนั้น ไปทางไหน ก็กลับทางนั้น....เมื่อไม่มีที่ไป ก็กลับมา สิครับ
เมื่อ กสบใจ รูปนาม ท่าน เข้าถึง ความเป็นอนัตตา ...มีแต่ไม่มี ...ท่านก็ต้องกลับมา รับรู้โลก ในแบบที่ท่าน ...คิดว่า ท่านพ้นทุกข์ สิครับ
...
ถ้าหากใจท่าน ถึงนิพพาน พ้นทุกข์ ถึงอนัตตาธรรม.....ความจริง ที่เที่ยงแท้แน่นอนได้แล้ว ท่านก็จงนำ นามหรือใจที่ประเสริฐนั้น ใจที่ไม่ยึดติดสมมุติทั้งหลายนั้น กลับมารวมกับ กาย ที่ ยังอยู่ในโลก ที่ยังเป็น อนิจัง ทุกขัง อนัตตา....อยู่ ได้ สิครับ

...
ใจที่ไม่ทุกข์ ใจที่รู้ความจริงที่เที่ยงนั้น ต้องกลับมาอยู่กับกาย แล้วนำพากายให้อยู่กับโลก ที่ไม่เที่ยง ให้ มันสุข ตาม ใจ ได้สิครับ
...
ดังนั้น

อนิจัง ทุกขัง อนัตตา คือ....พวกที่ ไม่สามารถเอาชนะกายใจ ปล่อยวางกายใจ เอาชนะความคิดของใจ เอาชนะโลกไม่ได้ หรือ ยังหลงโลกอยู่ มันก็เลย ยัง ทุกขังอยู่...ยัง อนิจังทุกขังอนัตตา กันอยู่

แต่คนที่ใจ พ้นทุกข์แล้ว...ไม่มีทุกข์แล้ว...แล้วจะปล่อยให้ กายในโลก ชีวิตในโลก ต้องทุกข์อีกทำไมล่ะครับ ก็ต้องกลับมา เหมือน มาเกิดใหม่ ในร่างเดิม...เพื่อเรียนรู้ ที่จะเอา ความจริงในใจที่ค้นพบนั้น มานำพากาย เอาปัญญามาใช้ เพื่อให้ ชีวิต ที่เหลืออยู่ ..พ้นจากทุกข์ของโลก ของคนใลก พ้นสมมุติของโลก ให้ได้สิครับ
...
เพื่อ อนิจัง สุขขัง อนัตตา.......ไม่ไช่ สุขที่ใจที่นามอย่างเดียว รูปกาย ต้องสุข พ้นทุกข์ของโลก ด้วย....มันต้องเรียน
...
มันต้องเรียนรู้ ว่า ทำยังไง ถึงจะไม่ ไปนรก สวรรค์ อีกแล้ว....ทำยังไง ถึงจะเป็นมนุษย์ ตั้งแต่เกิด โต และตาย ที่ยังรักษากายใจ รูปนาม..แห่งความเป็นมนุษย์ เอาไว้ให้ได้
...
คนอื่น...เวลาไกล้ตาย....พอรู้ว่าตนเองจะตาย...ก็ อยากมีโอกาส อยามีเวลา อยากมีพลังในการ หลุดพ้น จากความคิด นี่แหล่ะครับ ไม่อยากให้ความคิด นำพาตนเองไปจุติในภพภูมิอื่น (ส่วนใหญ่คือนรก)
...
แต่เรา ต้องมาเรียนรู้ ..การพ้นทุกข์จากใจ จากความคิดให้ได้ก่อน...เวลาตาย จะได้ไม่ทุกข์กับความตาย.....อิอิ

...
ไม่ได้โม้ ที่พุทธองค์ ไม่ชี้ วิธีดับทุกข์ ลงไปเลย นั่นเพราะ...คนมี บัว 4 เหล่า ..ไม่รู้ตัวเอง เวลา ปฏิบัตฺแล้ว ไม่สำเร็จ จะได้ไม่มาโทษ ที่เส้นทาง หรือ วิธี...แต่จง จำแนกแยกแยะตนเองว่า เป็นบัวเหล่าใด.....อยากเป็นบัว ที่พร้อมบาน ก็รู้อยู่แล้ว ว่าต้องทำไง....ไม่ทำเอง ใครจะทำให้ท่านได้

ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน

ภาพครอบครัวผมเองครับ



ทาน

ความลับของพุทธศาสนา....ทำไมต้องสอนให้ทำบุญ ด้วยการทำทาน

ทาน ศีล ภาวนา..........มันเกี่ยวข้องกันเยื่ยงไร

....................................................................................
ทาน คือการให้...ให้ไปเลย ให้โดยไม่หวังผลตอบแทนใดใด ให้โดยไม่คิดอะไรต่อจากการให้นั้น ให้แล้วให้เลยไม่ต้องมาเป็นห่วงมาพะวงว่า ผู้รับเขาจะเอาไปทำอะไร....เพราะการให้ทานนั้น คือการฝึก เป็นผู้เสียสละ รู้จักการเสียสละ ฝึกจิตใจให้ปล่อยวางจาก วัตถุทั้งหลาย และ สมมุติในใจของตนเองด้วย...นี่จึงถือว่าเป็นการให้ทานที่แท้จริง
.............................................................................
ทุกคนเคยได้ท่องคำกล่าว ในตอนทำวัตร เย็นกันมาบ้าง ...ว่า ต้องถึงขนาด ยอมมอบกายถวายชีวิตนี้แด่ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์...แก้วสามประการ ที่เป็นดั่ง ตัวแทนของพุทธศาสนา กันเลยทีเดียว....ทั้งหมดก็เพื่อ เป็นการละ สะสาง เอาออก เอาสมมุติทั้งหลายออก เอารูปนามออก ทิ้ง ให้ได้ เพื่อ จะได้ไม่มีความยึดมั่นถือมั่น
.........................................................
แม้แต่ เจ้าชายสิทธัตถะเอง ...ท่านต้อง เอาออกให้หมด เพื่อ เป็น การแลกเปลี่ยน ระหว่าง สมมุติทั้งหลาย เพื่อให้ได้มา ซึ่ง วิมุติทั้งหลาย
.........
สละรูป....เพื่อให้ได้นาม
สละเงินวัตถุ.....เพื่อให้ได้บุญ
สละสมมุติ.....เพื่อให้ได้วิมุติ
สละมาก....ได้มาก
สละน้อย....ได้น้อย
สละเท่าไหน ....ได้กลับมาเท่านั้น
......................
ถ้ายังมีอยู่ ท่านก็จะไม่เข้าไจ ความไม่มี เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์
การวาง ในคำสอนนั้น ก็เพื่อ เอาออก ให้มันว่าง.เกิดที่ว่าง เพื่อบางอย่างจะได้เข้ามาแทนที่ได้ ธรรมะ เป็นเรื่องของพลังงาน..........การเอาของเก่าออก เพื่อของใหม่จะได้ มีที่เข้ามา
.....
ศรัทธา..ทำไมถึงสอนให้ มีการทำบุญ ทำทาน ด้วย วัตถุ สิ่งของ ปัจจัย....นั่นเพราะ อยาได้บุญ ก็ต้องทำบุญ....ถ้าไม่ทำ ก็ไมได้...อะไร.....เพราะ การสัมผัส บุญ ความดี ความสุขกายสบายใจ ปีติ นั้น....มาจากการให้ทาน การทำบุญที่ถูก...เมื่อทำทานทำบุญ เราก็ สุขใจทันที....ไม่ทำ ก็ไม่ได้สัมผัส...นั่นหมายความว่า...ถ้าไม่เอาสมมุติออก ถ้าไม่เอาสมมุติแลก...วิมุติที่เป็นส่วนของนาม เช่น ความสุขกายสบายใจ บุญ ความร่มเย็น ก็เข้ามาหาเราไม่ได้ เพราะ เราไม่ทำ ไม่เอาออก
...
การที่พุทธองค์ เดินบิณฑบาตร นั่นแหล่ะ...คนที่ไส่บาตร เพราะเขาศรัทธาแล้วให้ทาน ทำทานถูก โดยการให้ ที่ไม่หวังผลตอบแทนอะไรเลย แสดงออกถึง ความพ้น ความก้าวล่วง ต่อความสงสัย....ทำด้วยใจบริสุมธิ์ ไม่มีความสงสัยใดใด กับการให้ทานนั้น ...ดังนั้น การทำทานนี้ จึงเป็นการได้บุญมากที่สุด เรียกว่า สังฆทาน
..
คนที่กล้าไส่บาตร เพราะเขาศรัทธา มีจิต สัมผัสได้ถึง ความสงบ ความเย็นสบาย ของพระ
คนที่ไส่มาก ก็ได้ มาก(ร่มเย็นที่ใจ)
..
แต่ การทำทานนั้น มันมี ข้อที่ควรรู้อยู่ก็คือ....ท่านทำทานกับใคร ศรัทธาใคร..เมื่อท่านให้ทานทำบุญกับคนนั้น...ท่านก็จะได้ พลังงานปัญญาของคนนั้น มาไส่ตนในส่วนของนาม ในส่วนของความรู้ ความเข้าใจ....อาจารย์ท่าน รู้แค่ไหน ..ถ้าท่านศรัทธาและทำบุญกับอาจารย์ท่าน สิ่งที่อาจารย์ท่านรู้อาจารย์ท่านเข้าใจ ผู้ทำบุญก็จะได้รับ ในส่วนนี้ด้วย

แต่จะรับมากรับน้อย ก็อยู่ที่ การสละทานของท่าน ว่าท่าน ศรัทธา และ เอาสมมุติออกมา ทำทาน มากหรือน้อยเพียงไร...เพราะถ้าสมมุติท่าน ว่าง แค่ไหน วิมุติก็จะเข้าไป (ปัญญารู้)ก็จะเข้าไป ได้เท่านั้น เท่าที่ท่าน ว่าง หรือ วาง มันลงได้
....
ใครศรัทธา ท่านพุทธทาส...ท่านก็ได้ไปเจอ ...สูญญตา
ใครศรัทธา หลวงพ่อสด.....ท่านก็จะได้ไป...นิพพานธรรมกาย
ใครศรัทธา อมิตาภะพุทธองค์..ท่านก็จะได้เป็นเยือน แดนสุขาวดี
ใครศรัทธา หลวงพ่อองค์ไหน..ความรู้ ปัญญา ความเข้าใจ ของหลวงพ่อองค์นั้น..ก็มาอยู่ในหัวท่าน

ใครศรัทธา พุทธองค์ ....ก็จะได้ พบนิพพาน และ พระพุทธะ ต่อไป
.............
เจ้าชายสิทธัตถะ..ท่านสละทุกอย่าง จ่ายหมดตัว....จนไม่เหลืออะไรเลยในสมมุติ..ในที่สุดท่านก็ได้รู้ วิมุติที่บริสุทธิ์ เต็ม ร้อยเปอร์เซ็นต์....เอาออกจนหมด ก็รับกลับมาเต็มที่เหมือนกัน ..นี่คือ...สมการ ของความรู้ ความจริง การถ่ายเท
..
ดังนั้น พุทธศาสนาสอนให้ เอาออก สะสางออก ให้พ้นสิ่งเกาะเกี่ยงทั้งหลาย
ก็เพื่อสิ่งนี้ นี่เอง.....

ตราบใดที่ใจในยังมีความยึดมั่นถือมั่น อยู่....พระสัทธรรมความจริง ก็เข้าไปที่ใจท่าน ไม่เต็ม...เข้าได้เท่าพื้นที่ที่ใจท่านปล่อยวาง สิ่งใดได้แล้ว เท่านั้นเอง

มีหลายครั้ง ที่ผ่านมา ผมชวนคนร่วมทำบุญ ทำทานร่วมกัน โดยบอกว่า จะทำสิ่งนั้นๆ แต่ไม่บอกว่า ที่ไหน เมื่อไหร่ ...นั่นเพราะเป็นการวัดจิตใจ วัดการก้าวข้ามสมมุติ ของ ผู้ที่กล้าร่วมบริจาค
....

แล้วผมยัง บอกอีกว่า ถ้าจะร่วมทำบุญทำทาน ห้ามอธิฐานขอสิ่งใดใด ถ้าไม่เชื่อ ไม่ศรัทธาก็ไม่ต้อง ทำ...ผมบอกทุกครั้ง.....แต่ก็มีผู้ที่จิตใจกล้า ก้าวข้ามสมมุติ ได้ กันหลายๆคนครับ....ผมยินดีกับท่านเหล่านี้ด้วยครับ
...
และมีสิ่งหนึ่ง ที่ผม จักบอก

สิ่งที่ผมพูดมา ทั้งหลาย มันล้วนเป็นความจริง ที่หาเหตุผล มาคัดค้านไม่ได้ ทักท้วงไม่ได้...หลายคนรู้ว่าจริง แต่ไม่เข้าใจ.....การที่ไม่เข้าใจนี่แหล่ะครับ...เพราะมันเข้าไม่ถึง จิตใจท่าน นั่นเพราะ จิตใจท่าน ไม่มีที่ว่างให้มัน เข้าถึงใจพวกท่าน

พวกท่าน ไม่ศรัทธา พวกท่านไม่ทำทานกับผม...ถึงอ่านให้ตายยังไง...ท่านก็ไม่เปิดใจกับผม ...พวกท่านก็จะไม่มีวันเข้าใจได้เลย

นั่นเพราะ ของฟรีไม่มีในโลก.....ต้องมีการแลกเปลี่ยนเสมอ
ถ้าพวกท่าน ต้องการเข้าถึงความวิมุติ....ท่านก็ต้อง กล้าสละสมมุติ ให้ได้ เช่นกัน สละน้อย ได้น้อย สละมาก รู้มาก

ดังนั้น...ความสุข ที่เกิดจากการให้ ทาน ทำบุญนั้น....รู้กันทุกคน แต่ ยังไม่กล้าทำ เพราะเหตุใด

จงพิจารณาตนเองเถิด

วันศุกร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2554

กลุ่ม พลังแห่งพระพุทธะ

อาทิตย์ทรงกลดเป็น ธรรมจักร

ไตรลักษณ์

วิธีการดูจิต ดูความคิด ฝึกสติปัฏฐาน อีกแบบ


อริยะสัจ 4 ความจริงอันประเสริฐ ที่ควรรู้

วันพุธที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2554

วิธีการพ้นทุกข์

นี่คือหลักการ ของความพ้นทุกข์....การพ้นทุกข์คือไม่ทุกข์ นั่นก็คือ มีความสุข ตอบง่ายๆ แค่นี้เอง

ท่านหิวข้าว ท่านทุกข์...ท่านกิน ท่านมีความสุข ท่านอิ่ม ความหิวหาย..ท่านหายทุกข์


ตวามสุขที่ได้กิน อย่ายึดติด...แต่ ความหายหิว หรือ ความปกติ นั่นเอง ที่ควรเข้าใจว่า ...การกิน คือ สุข มา ลบความทุกข์ คือความหิว ...คำตอบที่ได้คือ

หายหิว เมื่ออิ่ม เลิกกิน หายสุข...ได้คำตอบคือ ความปกติที่กาย ไม่หิว ได้ความปกติที่ใจ ไม่ทุกข์ ไม่สุข....คือ ความปกติ กายปกติ ใจปกติ
...
ทั้งหมด คือ คำสอนง่ายๆ จาก ศาสดา แต่..พุทธบริษัท คิดมากเกินไป ชอบทำอะไรที่มันยากๆ ชอบเข้าใจอะไรที่มันยากๆ ..ไอ้ที่มันง่ายๆ ทำไม ไม่เอา
...
การรู้ คือการรู้ แล้วเอามาใช้ ในชีวิตจริง ปัจจุบันจริง และ ใช้ได้ในยุคปัจจุบัน

กัปน์นี้ คือ ภัทรกัปล์ มีพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ องค์สุดท้าย ทุกท่านก็ คงรู้แล้วว่า พระศรีอาริย์ นั้น เป็นยุคแห่งคนดี แค่ฟังธรรม จากองค์พระศรีไม่กี่ประโยค ก็ บรรลุธรรม ได้


แล้วพวกท่าน คิดว่า ธรรมของพระศรี จักเป็นเช่นไรกันล่ะครับ

พระศรีท่านคงไม่พูด จากพระไตรปิฏก หรอกมั้ง อันนั้น มันสอนคนรุ่นเก่า คนโบราณ
ท่านคงต้องพูดธรรมที่เข้ากับคนยุคปัจจุบัน และ แก้ปัญญาของคนในยุคปัจจุบัน
เพราะการแสดงเหตุและผล....แสดงธรรม กับคนยุคขี่ม้ายิงธนู ไม่รู้จัก ไฟฟ้า พัดลม ตู้เย็นโทรศัพท์ โทรทัศน์ เครื่องบิน รถยนต์ ...คอมพิวเตอร์

คนยุคปัจจุบัน เขามีเหตุผล พิสูจน์ได้ ทางวิทยาศาตร์ กันแล้ว ....พระศรี คงไม่แสดงธรรม แบบ เดียวกับ เจ้าชายสิทธัตถะ แน่นอน....ถึงเป็นธรรมอันเดียวกัน...แต่คน ไม่เหมือนกัน

ยุคเจ้าชายสิทธัตถะ มีแต่ ความเชื่อฟ้าฝน เทพ ดังที่ทุกท่านเคยอ่านมาแล้ว

แล้วยุคพระศรี...จะแสดง ธรรม การแก้ปัญญา ในใจคน แบบเก่าได้ยังไงครับ นี่มันยุคไหนแล้ว พวกท่านตะหาก ที่ ยึดติด ของเก่า....น้ำเก่าในแก้วใบใหม่ ...ถ้าไม่เอาของเก่าออกทิ้ง ไม่ได้...แล้วของใหม่ จะ เติมเข้าไปได้ยังไง

ต้นไม้ ก่อนที่มันจะงอกใบใหม่ มันยังต้อง ร่วงใบเก่าๆ ทิ้งไป จะเก็บใบเก่าๆ ไว้ทำไมกันครับ นี่แหล่ะ คือ ธรรมชาติ

ถ้าพวกท่าน เข้าถึงความเป็นธรรมชาติ ยังไม่เข้าใจธรรมชาติ ของโลก ของธาตุ แล้ว
พวกท่าน จักเข้าถึงธรรมชาติ เข้าใจธรรมชาติได้อย่างไร

ธรรมชาติ หมายถึง....ธรรม คือความจริงของธรรมชาติ....ชาติคือ การเกิด...รวมความแปลว่า ความจริงของการเกิด ขึ้น..ตั้งอยู่ ดับไป ...ถ้าพวกท่าน ไม่เข้าใจ ในความเป็นธรรมชาติ ไม่เข้าไตรลักษณ์แล้ว ....อย่าได้..ตัดสินว่า ผม มา บิดเบือนศาสนา เลยครับ

อยากให้พวกท่าน พิจารณาตนเอง ไม่ดีกว่าหรือครับ ว่า ไม่เข้าใจ ที่ผมพูด เพราะอะไร
....
สุขเพราะสุข สุขเพราะเข้าใจความสุขที่แท้จริง เป็นยังไง... สุขที่ต้อง มีในชีวิตของคนเรา.. เข้าใจวิธีการสร้างความสุข และรู้จักมอบ ให้ ความสุขแก่คนอื่นเป็น และรู้คุณค่าของความสุข ....

การปฏิบัติ เพื่อความหลุดพ้นนั้น คือ หลุดพ้นสมมุติทั้งปวง คือ สมมุติที่ใจสร้างขึ้น รวมสรุป ใหญทๆ คือ สุขกับทุกข์ ไม่ว่าจะ สุขมาก สุขน้อย สุขนิด ..มันก็สุข เหมือนกัน ใครที่อยากใด้ ความสุขมาก ใครที่อยากให้ตนเองสุขอย่างเดียว เรียกว่าติดใจในความสุข เรียกว่า ความโลภ....ส่วนความทุกข์ ไม่ว่ามันจะทุกข์มากมาย ทุกข์ปานกลาง ทุกข์นิดนิด...มันก็คือ ความทุกข์ เรียกว่าทุกข์ อันเดียวกัน ใครที่ไม่ต้องการความทุกข์เลย ใครที่มีทุกข์แล้วต้องทนอยู่กับทุกข์ แบบหลีกเลี่ยงมิได้..ถ้าหนีไม่ได้ ก็เกิดความไม่พอใจ ในทุกข์ที่มั เรียกว่า ความโกรธ.........


แล้วใคร ที่ หลงสุข มีความโลภ ...ใครที่ไม่ชอบทุกข์ มีความโกรธ....ใครก็ตามที่มีทั้งสองอย่าง หรือมีอย่างไดอย่างหนึ่ง.....เช่น พวกในนรก หลงทุกข์ พวกในสวรรค์ หลงสุข....พวกในโลกมนุษย์หลงทั้งทุกข์หลงทั้งสุข.ใครที่มี โลภ กับโกรธ หรือ มีอย่างใดอย่างหนึ่ง เรียก ว่า พวกหลง

หลงกับสิ่งที่ใจมันพาไป เอาชนะใจตนเองไม่ได้ ....ไม่รู้ความจริงของใจ ปล่อยวางใจไม่ได้....ใจคือเครื่องรับรู้โลก....ตราบใดที่แพ้ใจ ก็คือ แพ้โลก

ถือว่า ยังหลงอยู่กับโลก...เพราะโลก คือ ต้นเหตุ แห่งกรรม ทั้งหมด ที่นำพา หลายๆคนไปนรก ไปสวรรค์....ในโลก นี่แหล่ะ...ทั้งโลกนี่แหล่ะ...มีอยู่สิ่งเดียว ที่ เป็นตัวรับรู้ ก็คือ..กาย กับใจ...แต่ใจ เป็น ตัวการใหญ่ที่สุด

ถ้าฝึกสติปัฏฐาน เอาชนะใจตนเองไม่ได้ รู้ความจริงของใจไม่ได้ ปล่อยวางใจ ไม่ได้ ....ท่านก็ ยังไม่หลุดพ้น ..สมมุติของโลก...อยู่นั่นเอง

แต่เมื่อใดที่ท่าน หลุดพ้นโลกได้ เอาชนะความคิด อุปทานทั้งหมดของใจได้แล้ว เป็นต้นว่า กิเลสทั้งหลาย ตัณหาทั้งหลาย อารมณ์ทั้งหลาย ความคิด ตวามสงสัย ความอยาก ความรู้ อัตตา ตัวตน.วิญาณ สังขาร สัญญา....ทั้งหมด นี้ มัน เกิดจากใจ ทั้งนั้น

เมื่อใดที่ท่าน เข้าใจในสิ่งที่ใจมันสร้าง ได้...ท่านก็จะไม่หลงไปกับใจ ไม่หลงไปกับโลก อีกต่อไป...ก็จะไม่ทุกข์ไปกับใจ ไม่ทุกข์ไปกับโลก อีกต่อไป
..
แต่
..
แต่ ความจริง คือเรายังไม่ตาย เรายังมีชีวิตอยู่...ดังนั้น ชีวิตเก่าที่ไม่รู้ว่าอะไรสมควรทำไม่สมควรทำ ชีวิต ที่เคยหลงไปกับใจ หลงไปกับโลก หลงไปกับ ความโกรธ ความโลภ...นั้น จะไม่มีอีกต่อไป ...ก็แสดงว่า ความทุกข์ ก็ไม่มีอีกต่อไป ไม่มีความหลงกับใจ ไม่มีความหลงกับโลก ก็จะไม่ทุกข์กับใจ ไม่ทุกข์กับโลก อีกแล้ว

แต่ ชีวิตที่เหลืออยู่ มันต้องเป็นชีวิตของเราจริงๆ เรากำหนดชีวิตของเราได้จริงๆ...โดย สร้างชีวิตใหม่ ความคิดใหม่...อยู่ภายในกรอบ ของ มรรค 8 โดยอัตโนมัติ.....ที่ผ่านมา ชีวิต แบบนี้ มีอยู่ในเขตอภัยทาน กรอบของวัด สมมุติของสงฆ์เท่านั้น ที่สามารถรองรับ จิตของคนที่พ้นโลกได้

แต่...ต่อไปนี้ ...อนิจัง ทุกขัง อนัตตา ต้องไม่มีในโลก เพื่อที่ คนจะได้ อนิจังสุขขังอนัตตา นอกวัด กันได้ อนิจังสุขขังอนัตตา ในโลกในใจ ...นี้ให้ได้

ดังนั้น สังคม ที่ มีแต่คนดี สร้างความสุขเป็น มอบแต่ความสุขให้กันและกัน จักต้อง ปรากฏ และ พิสูจน์ ได้...ใน สังคมทั่วไป ...ไม่ไช่ อยู่ภายในวัดอย่างเดียว

วันอังคารที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2554

วิธีแก้ไขทุกข์ ให้กับ พุทธบริษัท

สมมุติว่า  มีพระสงฆ์รูปหนึ่ง ที่ สามารถสร้างศรัทธาและดึงศรัทธาจาก ญาติโยมทั้งหลาย ให้มา รวมกัน ร่วมกัน ทำบุญปฏิบัติธรรม ได้ ในจำนวนมากแล้ว  ...ก็ควรจะ มีการ ช่วยแก้ไข แก้ปัญหา ทุกข์ในใจของญาติโยมด้วย นั่นก็คือ

1.ญาติโยมแต่ละคน มีความทุกข์ มีปัญหาในใจ มีปัญหาในการ ดำเนินชีวิต ที่เป็นของใครของมัน
2.ญาติโยมแต่ละคน ที่มารวมกัน ร่วมกันทำบุญ ล้วนแต่มาจาก หลายสาขาอาชีพ หลายชนชั้น
3.ญาติโยมแต่ละคน ที่มารวมกัน ร่วมกันทำบุญนั้นเพราะ ต้องการสร้างความดี อยากทำบุญ อยากเป็นคนดี ด้วยกันทั้งนั้น
4.ญาติโยมแต่ละคน ที่มาทำบุญ ก็เพราะ ต้องการ พ้นความทุกข์ที่มีอยู่ในใจ ในชีวิตครอบครัว ในชีวิตในโลกทั้งนั้น
...................
ในเมื่อ ทุกคน มารวมกัน ร่วมกัน ทำบุญต่อหน้า พระสงฆ์ที่ตนเองศรัทธา ...ดังนั้น ถ้าพระสงฆ์สามารถเปิดใจ ญาติโยมทุกคน ให้ รู้จักกัน รักกัน เชื่อใจกัน ไว้ใจกัน คบกันเป็นกัลยาณมิตรแล้ว  และญาติโยมทุกคนก็ มีหน้าที่การงาน ไม่เหมือนกัน แต่ทุกคนก็อยู่ใน สังคมเดียวกัน บ้านเดียวกัน จังหวัดเดียวกัน ประเทศเดียวกัน พุทธบริษัทเดียวกัน....ดังนั้น การแก้ปัญหาทางโลก ปัญหาในการดำเนินชีวิต การใช้ชีวิต การทำงาน การประกอบอาชีพ  ก็น่าจะ พึ่งพิง แนะนำ อาศัยกันและกันได้  ถ้าหากทุกคน ต่างก็ มีจิตใจที่ดีงาม ประเสริฐ แล้ว....ก็น่าจะถือว่า เราคือ พุทธบริษัทเดียวกัน เชื่อใจกัน ไว้ใจกัน คบกันได้ เป็นเพื่อนกัน เป็นพี่เป็นน้องกัน  ...ใครมีปัญหาอะไร ทำไม ไม่คิด ช่วยเหลือ เกื้อกูล กันและกันเล่า

นั่นเพราะ ปัญหา ของ คนในสังคม ถ้าหาก คนในสังคมไม่ช่วยกันเอง ใครจะมาช่วยเหลือ ใครจะมารับรู้ ปัญหาในใจ ความทุกข์ในใจ ของ แต่ละคนกันเล่า

นี่แหล่ะ ในอนาคต พระสงฆ์ สาวกของพุทธองค์ ต้องมีศักยะภาพ ในการ ช่วย แก้ทุกข์ในใจของ ญาติโยมที่มา ร่วมกัน ทำบุญ ได้

ดั่งนี้ ศาสนา ถึงจะมีคุณค่า มีความสำคัญ ในใจของ พุทธบริษัทโดย แท้จริง

เปิดรับสมัคร เรียนพุทธะ รุ่นที่1 รุ่นรอดพ้นภัยภิบัติ

มีโองการมา จากพระพุทธะ ให้ มาเปิดรับสมัคร ผู้ที่ต้องการเรียน วิชาพระพุทธะโดยตรง รับรองในหลักสูตร ว่า ท่านจะเข้าใจ ได้แน่นอน
..........

ระเบียบในการสมัคร
1.บอกชื่อจริง นามสกุล จริง
2.ชื่อเล่น
3.เบอร์โทรศัพท์
4.พร้อมความคิดเห็น ว่า ท่านอยากเรียน ด้วยเหตุผลประการใด
5.อายุ
6.โสดไม่โสด
..........
นี่คือ ประกาศจริง
เบอร์โทรผม 123 0878772459 ดีแทค 087 6425039...

เราเคยทำบุญร่วมกันหรือป่าวก้อไม่รู้นะ....ถึงได้มาเจอกันแม้เป็นเพียงแค่ความฝันก้อตาม....อ่านนะความหมายดีจริงๆ‏

สุขใจที่ได้รัก
ในขณะที่เราคิดถึงคน ๆ นึงตลอดเวลา
เค้าคนนั้นก็อาจคิดถึงคนอื่นอยู่ก็เป็นได้
และบางครั้ง ก็อาจมีคนที่คิดถึงเรา
โดยที่เราไม่สนใจเลยเช่นกัน

บางครั้ง การได้ฝันไปคนเดียว
มันก็ดีกว่าการได้รู้ความจริงที่ว่า
สิ่งที่เราคิดทั้งหมด
มันคือความฝันของเราเองเพียงคนเดียว
ฉะนั้น ไม่แปลกที่คนส่วนใหญ่
เลือกที่จะจมกับความฝัน
มากกว่าการได้รับรู้ความจริง
การไม่ได้เป็นที่ 1 ในใจเค้า
ไม่ใช่เรื่องน่าเศร้า...
เราอาจเป็นที่ 2
ซึ่งมันก็ยังดีกว่าเป็นที่ 3 ที่ 4...
และหากเราเป็นที่ 10 ในใจเค้า...
ก็ขอให้คิดไว้ว่า
ดีกว่าเราไม่มีความสำคัญอะไรในใจเค้าเลย

แต่โปรดจำไว้เถอะว่า
หากหัวใจของคุณยังไม่ร้องไห้ออกมาดัง ๆ
พร้อมกับพูดกับตัวเองว่า
...ชั้นเหนื่อยเหลือเกินแล้ว
โปรดห้ามใจเถอะ
ก่อนที่ชั้นจะอ่อนล้าไปกว่านี้...

ก็จงชอบต่อไปเถอะ
การรักใครซักคน
ไม่ต้องการความพยายาม
"การตัดใจ"ต่างหาก
ที่ต้องใช้ความพยายามอย่างมากมาย
ลองชั่งน้ำหนักในใจเราดูสิว่า
ความสุขยาม ที่คุณได้สบตาเค้า
กับความทุกข์ยามที่คุณต้องคอยหลบตาเค้า
อันไหนมันหนักหนากว่ากัน

อย่าโทษตัวเอง ที่มาเจอเค้าสายเกินไป...
อย่าโทษเค้าที่ไม่มีใจให้...
อย่าโทษโชคชะตาที่ทำให้เราพบกัน
แต่ไม่ได้ทำให้เราใจตรงกัน

แต่จงยิ้มให้กับตัวเอง ที่อย่างน้อย
ถึงจะพบกับเค้าคนนั้นสายเกินไป
แต่ก็ยังได้พบ...

ยิ้มให้เค้า ที่ถึงจะไม่ได้ให้ใจเรามา
แต่ก็ยังได้รับหัวใจของเราไป...

ยิ้มให้กับโชคชะตา  
ที่ยังทำให้เรา...ได้รู้จักกัน
คุณควรจะดีใจด้วยซ้ำที่ครั้งหนึ่ง
คุณได้เจอคนที่คุณอยากเก็บรอยยิ้ม
ของเค้าไว้คนเดียว

คนที่คุณใส่ใจกว่าตัวคุณเอง...
คนที่ทำให้คุณหัวเราะ...
และร้องไห้ได้มากมาย...

คนที่เพียงแค่ยิ้มของเค้า
ก็สามารถเปลี่ยนวันที่หมองหม่น...
ให้กลายเป็นวันที่สดใส เท่านี้มันก็เพียงพอแล้ว ไม่ใช่หรือ? แค่การได้เห็นคนที่เรารัก ได้หัวเราะอยู่กับใครสักคน
ที่เค้ารักมากที่สุด ...นั่นแหละคือความสุขของการได้รัก
...อย่างจริงใจ สุขใจที่ได้รัก...จะรักให้เป็นแบบไหน...สุดท้ายก้อคือรัก.... 


ส่งเมลล์ไปให้อีกสักกี่คนก้อได้นะและหนึ่งในคนที่คุณส่งไปให้ต้องมีคนที่คุณรักอยู่ด้วย

วันอาทิตย์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2554

สิ่งใดใดในโลกล้วน อนิจจัง

สิ่งใดใด ในโลก ล้วนอนิจจัง แต่มีอยู่สิ่งหนึ่ง ที่ จะปล่อยให้มัน อนิจจัง ไปกลับ ปัจจุบันไม่ได้ นั่นก็คือ ชีวิตของเราเอง   ชีวิตของเรามันเป็น ชีวิตลมหายใจความรู้สึก ของเราเอง มันต้องเป็นชีวิตที่ไม่อนิจจัง มันต้องเป็นชีวิต ที่มีประกาย อยู่ด้วยความสุข ความเข้าใจในคุณค่าของตนเอง ตราบลมหายใจสุดท้าย
ชีวิตนี้จะเป็นอนิจจังได้ ก็ต่อเมื่อ เราหมดลมหายใจ  ค่อยอนิจจัง

รูปของผมเองครับ


เป็นรูป ที่ถ่ายเอง หน้ากระจกครับ ต้องแต่งตัวหล่อสักหน่อย ก็คนมันไม่เคยหล่อ
แต่งตัวเพื่อ ไปถวาย รูปแห่งความสมปรารถนาที่โรงพยาบาลศิริราชครับ