วันพุธที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2554

วิธีการพ้นทุกข์

นี่คือหลักการ ของความพ้นทุกข์....การพ้นทุกข์คือไม่ทุกข์ นั่นก็คือ มีความสุข ตอบง่ายๆ แค่นี้เอง

ท่านหิวข้าว ท่านทุกข์...ท่านกิน ท่านมีความสุข ท่านอิ่ม ความหิวหาย..ท่านหายทุกข์


ตวามสุขที่ได้กิน อย่ายึดติด...แต่ ความหายหิว หรือ ความปกติ นั่นเอง ที่ควรเข้าใจว่า ...การกิน คือ สุข มา ลบความทุกข์ คือความหิว ...คำตอบที่ได้คือ

หายหิว เมื่ออิ่ม เลิกกิน หายสุข...ได้คำตอบคือ ความปกติที่กาย ไม่หิว ได้ความปกติที่ใจ ไม่ทุกข์ ไม่สุข....คือ ความปกติ กายปกติ ใจปกติ
...
ทั้งหมด คือ คำสอนง่ายๆ จาก ศาสดา แต่..พุทธบริษัท คิดมากเกินไป ชอบทำอะไรที่มันยากๆ ชอบเข้าใจอะไรที่มันยากๆ ..ไอ้ที่มันง่ายๆ ทำไม ไม่เอา
...
การรู้ คือการรู้ แล้วเอามาใช้ ในชีวิตจริง ปัจจุบันจริง และ ใช้ได้ในยุคปัจจุบัน

กัปน์นี้ คือ ภัทรกัปล์ มีพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ องค์สุดท้าย ทุกท่านก็ คงรู้แล้วว่า พระศรีอาริย์ นั้น เป็นยุคแห่งคนดี แค่ฟังธรรม จากองค์พระศรีไม่กี่ประโยค ก็ บรรลุธรรม ได้


แล้วพวกท่าน คิดว่า ธรรมของพระศรี จักเป็นเช่นไรกันล่ะครับ

พระศรีท่านคงไม่พูด จากพระไตรปิฏก หรอกมั้ง อันนั้น มันสอนคนรุ่นเก่า คนโบราณ
ท่านคงต้องพูดธรรมที่เข้ากับคนยุคปัจจุบัน และ แก้ปัญญาของคนในยุคปัจจุบัน
เพราะการแสดงเหตุและผล....แสดงธรรม กับคนยุคขี่ม้ายิงธนู ไม่รู้จัก ไฟฟ้า พัดลม ตู้เย็นโทรศัพท์ โทรทัศน์ เครื่องบิน รถยนต์ ...คอมพิวเตอร์

คนยุคปัจจุบัน เขามีเหตุผล พิสูจน์ได้ ทางวิทยาศาตร์ กันแล้ว ....พระศรี คงไม่แสดงธรรม แบบ เดียวกับ เจ้าชายสิทธัตถะ แน่นอน....ถึงเป็นธรรมอันเดียวกัน...แต่คน ไม่เหมือนกัน

ยุคเจ้าชายสิทธัตถะ มีแต่ ความเชื่อฟ้าฝน เทพ ดังที่ทุกท่านเคยอ่านมาแล้ว

แล้วยุคพระศรี...จะแสดง ธรรม การแก้ปัญญา ในใจคน แบบเก่าได้ยังไงครับ นี่มันยุคไหนแล้ว พวกท่านตะหาก ที่ ยึดติด ของเก่า....น้ำเก่าในแก้วใบใหม่ ...ถ้าไม่เอาของเก่าออกทิ้ง ไม่ได้...แล้วของใหม่ จะ เติมเข้าไปได้ยังไง

ต้นไม้ ก่อนที่มันจะงอกใบใหม่ มันยังต้อง ร่วงใบเก่าๆ ทิ้งไป จะเก็บใบเก่าๆ ไว้ทำไมกันครับ นี่แหล่ะ คือ ธรรมชาติ

ถ้าพวกท่าน เข้าถึงความเป็นธรรมชาติ ยังไม่เข้าใจธรรมชาติ ของโลก ของธาตุ แล้ว
พวกท่าน จักเข้าถึงธรรมชาติ เข้าใจธรรมชาติได้อย่างไร

ธรรมชาติ หมายถึง....ธรรม คือความจริงของธรรมชาติ....ชาติคือ การเกิด...รวมความแปลว่า ความจริงของการเกิด ขึ้น..ตั้งอยู่ ดับไป ...ถ้าพวกท่าน ไม่เข้าใจ ในความเป็นธรรมชาติ ไม่เข้าไตรลักษณ์แล้ว ....อย่าได้..ตัดสินว่า ผม มา บิดเบือนศาสนา เลยครับ

อยากให้พวกท่าน พิจารณาตนเอง ไม่ดีกว่าหรือครับ ว่า ไม่เข้าใจ ที่ผมพูด เพราะอะไร
....
สุขเพราะสุข สุขเพราะเข้าใจความสุขที่แท้จริง เป็นยังไง... สุขที่ต้อง มีในชีวิตของคนเรา.. เข้าใจวิธีการสร้างความสุข และรู้จักมอบ ให้ ความสุขแก่คนอื่นเป็น และรู้คุณค่าของความสุข ....

การปฏิบัติ เพื่อความหลุดพ้นนั้น คือ หลุดพ้นสมมุติทั้งปวง คือ สมมุติที่ใจสร้างขึ้น รวมสรุป ใหญทๆ คือ สุขกับทุกข์ ไม่ว่าจะ สุขมาก สุขน้อย สุขนิด ..มันก็สุข เหมือนกัน ใครที่อยากใด้ ความสุขมาก ใครที่อยากให้ตนเองสุขอย่างเดียว เรียกว่าติดใจในความสุข เรียกว่า ความโลภ....ส่วนความทุกข์ ไม่ว่ามันจะทุกข์มากมาย ทุกข์ปานกลาง ทุกข์นิดนิด...มันก็คือ ความทุกข์ เรียกว่าทุกข์ อันเดียวกัน ใครที่ไม่ต้องการความทุกข์เลย ใครที่มีทุกข์แล้วต้องทนอยู่กับทุกข์ แบบหลีกเลี่ยงมิได้..ถ้าหนีไม่ได้ ก็เกิดความไม่พอใจ ในทุกข์ที่มั เรียกว่า ความโกรธ.........


แล้วใคร ที่ หลงสุข มีความโลภ ...ใครที่ไม่ชอบทุกข์ มีความโกรธ....ใครก็ตามที่มีทั้งสองอย่าง หรือมีอย่างไดอย่างหนึ่ง.....เช่น พวกในนรก หลงทุกข์ พวกในสวรรค์ หลงสุข....พวกในโลกมนุษย์หลงทั้งทุกข์หลงทั้งสุข.ใครที่มี โลภ กับโกรธ หรือ มีอย่างใดอย่างหนึ่ง เรียก ว่า พวกหลง

หลงกับสิ่งที่ใจมันพาไป เอาชนะใจตนเองไม่ได้ ....ไม่รู้ความจริงของใจ ปล่อยวางใจไม่ได้....ใจคือเครื่องรับรู้โลก....ตราบใดที่แพ้ใจ ก็คือ แพ้โลก

ถือว่า ยังหลงอยู่กับโลก...เพราะโลก คือ ต้นเหตุ แห่งกรรม ทั้งหมด ที่นำพา หลายๆคนไปนรก ไปสวรรค์....ในโลก นี่แหล่ะ...ทั้งโลกนี่แหล่ะ...มีอยู่สิ่งเดียว ที่ เป็นตัวรับรู้ ก็คือ..กาย กับใจ...แต่ใจ เป็น ตัวการใหญ่ที่สุด

ถ้าฝึกสติปัฏฐาน เอาชนะใจตนเองไม่ได้ รู้ความจริงของใจไม่ได้ ปล่อยวางใจ ไม่ได้ ....ท่านก็ ยังไม่หลุดพ้น ..สมมุติของโลก...อยู่นั่นเอง

แต่เมื่อใดที่ท่าน หลุดพ้นโลกได้ เอาชนะความคิด อุปทานทั้งหมดของใจได้แล้ว เป็นต้นว่า กิเลสทั้งหลาย ตัณหาทั้งหลาย อารมณ์ทั้งหลาย ความคิด ตวามสงสัย ความอยาก ความรู้ อัตตา ตัวตน.วิญาณ สังขาร สัญญา....ทั้งหมด นี้ มัน เกิดจากใจ ทั้งนั้น

เมื่อใดที่ท่าน เข้าใจในสิ่งที่ใจมันสร้าง ได้...ท่านก็จะไม่หลงไปกับใจ ไม่หลงไปกับโลก อีกต่อไป...ก็จะไม่ทุกข์ไปกับใจ ไม่ทุกข์ไปกับโลก อีกต่อไป
..
แต่
..
แต่ ความจริง คือเรายังไม่ตาย เรายังมีชีวิตอยู่...ดังนั้น ชีวิตเก่าที่ไม่รู้ว่าอะไรสมควรทำไม่สมควรทำ ชีวิต ที่เคยหลงไปกับใจ หลงไปกับโลก หลงไปกับ ความโกรธ ความโลภ...นั้น จะไม่มีอีกต่อไป ...ก็แสดงว่า ความทุกข์ ก็ไม่มีอีกต่อไป ไม่มีความหลงกับใจ ไม่มีความหลงกับโลก ก็จะไม่ทุกข์กับใจ ไม่ทุกข์กับโลก อีกแล้ว

แต่ ชีวิตที่เหลืออยู่ มันต้องเป็นชีวิตของเราจริงๆ เรากำหนดชีวิตของเราได้จริงๆ...โดย สร้างชีวิตใหม่ ความคิดใหม่...อยู่ภายในกรอบ ของ มรรค 8 โดยอัตโนมัติ.....ที่ผ่านมา ชีวิต แบบนี้ มีอยู่ในเขตอภัยทาน กรอบของวัด สมมุติของสงฆ์เท่านั้น ที่สามารถรองรับ จิตของคนที่พ้นโลกได้

แต่...ต่อไปนี้ ...อนิจัง ทุกขัง อนัตตา ต้องไม่มีในโลก เพื่อที่ คนจะได้ อนิจังสุขขังอนัตตา นอกวัด กันได้ อนิจังสุขขังอนัตตา ในโลกในใจ ...นี้ให้ได้

ดังนั้น สังคม ที่ มีแต่คนดี สร้างความสุขเป็น มอบแต่ความสุขให้กันและกัน จักต้อง ปรากฏ และ พิสูจน์ ได้...ใน สังคมทั่วไป ...ไม่ไช่ อยู่ภายในวัดอย่างเดียว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น