ความลับของพุทธศาสนา....ทำไมต้องสอนให้ทำบุญ ด้วยการทำทาน
ทาน ศีล ภาวนา..........มันเกี่ยวข้องกันเยื่ยงไร
....................................................................................
ทาน คือการให้...ให้ไปเลย ให้โดยไม่หวังผลตอบแทนใดใด ให้โดยไม่คิดอะไรต่อจากการให้นั้น ให้แล้วให้เลยไม่ต้องมาเป็นห่วงมาพะวงว่า ผู้รับเขาจะเอาไปทำอะไร....เพราะการให้ทานนั้น คือการฝึก เป็นผู้เสียสละ รู้จักการเสียสละ ฝึกจิตใจให้ปล่อยวางจาก วัตถุทั้งหลาย และ สมมุติในใจของตนเองด้วย...นี่จึงถือว่าเป็นการให้ทานที่แท้จริง
.............................................................................
ทุกคนเคยได้ท่องคำกล่าว ในตอนทำวัตร เย็นกันมาบ้าง ...ว่า ต้องถึงขนาด ยอมมอบกายถวายชีวิตนี้แด่ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์...แก้วสามประการ ที่เป็นดั่ง ตัวแทนของพุทธศาสนา กันเลยทีเดียว....ทั้งหมดก็เพื่อ เป็นการละ สะสาง เอาออก เอาสมมุติทั้งหลายออก เอารูปนามออก ทิ้ง ให้ได้ เพื่อ จะได้ไม่มีความยึดมั่นถือมั่น
.........................................................
แม้แต่ เจ้าชายสิทธัตถะเอง ...ท่านต้อง เอาออกให้หมด เพื่อ เป็น การแลกเปลี่ยน ระหว่าง สมมุติทั้งหลาย เพื่อให้ได้มา ซึ่ง วิมุติทั้งหลาย
.........
สละรูป....เพื่อให้ได้นาม
สละเงินวัตถุ.....เพื่อให้ได้บุญ
สละสมมุติ.....เพื่อให้ได้วิมุติ
สละมาก....ได้มาก
สละน้อย....ได้น้อย
สละเท่าไหน ....ได้กลับมาเท่านั้น
......................
ถ้ายังมีอยู่ ท่านก็จะไม่เข้าไจ ความไม่มี เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์
การวาง ในคำสอนนั้น ก็เพื่อ เอาออก ให้มันว่าง.เกิดที่ว่าง เพื่อบางอย่างจะได้เข้ามาแทนที่ได้ ธรรมะ เป็นเรื่องของพลังงาน..........การเอาของเก่าออก เพื่อของใหม่จะได้ มีที่เข้ามา
.....
ศรัทธา..ทำไมถึงสอนให้ มีการทำบุญ ทำทาน ด้วย วัตถุ สิ่งของ ปัจจัย....นั่นเพราะ อยาได้บุญ ก็ต้องทำบุญ....ถ้าไม่ทำ ก็ไมได้...อะไร.....เพราะ การสัมผัส บุญ ความดี ความสุขกายสบายใจ ปีติ นั้น....มาจากการให้ทาน การทำบุญที่ถูก...เมื่อทำทานทำบุญ เราก็ สุขใจทันที....ไม่ทำ ก็ไม่ได้สัมผัส...นั่นหมายความว่า...ถ้าไม่เอาสมมุติออก ถ้าไม่เอาสมมุติแลก...วิมุติที่เป็นส่วนของนาม เช่น ความสุขกายสบายใจ บุญ ความร่มเย็น ก็เข้ามาหาเราไม่ได้ เพราะ เราไม่ทำ ไม่เอาออก
...
การที่พุทธองค์ เดินบิณฑบาตร นั่นแหล่ะ...คนที่ไส่บาตร เพราะเขาศรัทธาแล้วให้ทาน ทำทานถูก โดยการให้ ที่ไม่หวังผลตอบแทนอะไรเลย แสดงออกถึง ความพ้น ความก้าวล่วง ต่อความสงสัย....ทำด้วยใจบริสุมธิ์ ไม่มีความสงสัยใดใด กับการให้ทานนั้น ...ดังนั้น การทำทานนี้ จึงเป็นการได้บุญมากที่สุด เรียกว่า สังฆทาน
..
คนที่กล้าไส่บาตร เพราะเขาศรัทธา มีจิต สัมผัสได้ถึง ความสงบ ความเย็นสบาย ของพระ
คนที่ไส่มาก ก็ได้ มาก(ร่มเย็นที่ใจ)
..
แต่ การทำทานนั้น มันมี ข้อที่ควรรู้อยู่ก็คือ....ท่านทำทานกับใคร ศรัทธาใคร..เมื่อท่านให้ทานทำบุญกับคนนั้น...ท่านก็จะได้ พลังงานปัญญาของคนนั้น มาไส่ตนในส่วนของนาม ในส่วนของความรู้ ความเข้าใจ....อาจารย์ท่าน รู้แค่ไหน ..ถ้าท่านศรัทธาและทำบุญกับอาจารย์ท่าน สิ่งที่อาจารย์ท่านรู้อาจารย์ท่านเข้าใจ ผู้ทำบุญก็จะได้รับ ในส่วนนี้ด้วย
แต่จะรับมากรับน้อย ก็อยู่ที่ การสละทานของท่าน ว่าท่าน ศรัทธา และ เอาสมมุติออกมา ทำทาน มากหรือน้อยเพียงไร...เพราะถ้าสมมุติท่าน ว่าง แค่ไหน วิมุติก็จะเข้าไป (ปัญญารู้)ก็จะเข้าไป ได้เท่านั้น เท่าที่ท่าน ว่าง หรือ วาง มันลงได้
....
ใครศรัทธา ท่านพุทธทาส...ท่านก็ได้ไปเจอ ...สูญญตา
ใครศรัทธา หลวงพ่อสด.....ท่านก็จะได้ไป...นิพพานธรรมกาย
ใครศรัทธา อมิตาภะพุทธองค์..ท่านก็จะได้เป็นเยือน แดนสุขาวดี
ใครศรัทธา หลวงพ่อองค์ไหน..ความรู้ ปัญญา ความเข้าใจ ของหลวงพ่อองค์นั้น..ก็มาอยู่ในหัวท่าน
ใครศรัทธา พุทธองค์ ....ก็จะได้ พบนิพพาน และ พระพุทธะ ต่อไป
.............
เจ้าชายสิทธัตถะ..ท่านสละทุกอย่าง จ่ายหมดตัว....จนไม่เหลืออะไรเลยในสมมุติ..ในที่สุดท่านก็ได้รู้ วิมุติที่บริสุทธิ์ เต็ม ร้อยเปอร์เซ็นต์....เอาออกจนหมด ก็รับกลับมาเต็มที่เหมือนกัน ..นี่คือ...สมการ ของความรู้ ความจริง การถ่ายเท
..
ดังนั้น พุทธศาสนาสอนให้ เอาออก สะสางออก ให้พ้นสิ่งเกาะเกี่ยงทั้งหลาย
ก็เพื่อสิ่งนี้ นี่เอง.....
ตราบใดที่ใจในยังมีความยึดมั่นถือมั่น อยู่....พระสัทธรรมความจริง ก็เข้าไปที่ใจท่าน ไม่เต็ม...เข้าได้เท่าพื้นที่ที่ใจท่านปล่อยวาง สิ่งใดได้แล้ว เท่านั้นเอง
มีหลายครั้ง ที่ผ่านมา ผมชวนคนร่วมทำบุญ ทำทานร่วมกัน โดยบอกว่า จะทำสิ่งนั้นๆ แต่ไม่บอกว่า ที่ไหน เมื่อไหร่ ...นั่นเพราะเป็นการวัดจิตใจ วัดการก้าวข้ามสมมุติ ของ ผู้ที่กล้าร่วมบริจาค
....
แล้วผมยัง บอกอีกว่า ถ้าจะร่วมทำบุญทำทาน ห้ามอธิฐานขอสิ่งใดใด ถ้าไม่เชื่อ ไม่ศรัทธาก็ไม่ต้อง ทำ...ผมบอกทุกครั้ง.....แต่ก็มีผู้ที่จิตใจกล้า ก้าวข้ามสมมุติ ได้ กันหลายๆคนครับ....ผมยินดีกับท่านเหล่านี้ด้วยครับ
...
และมีสิ่งหนึ่ง ที่ผม จักบอก
สิ่งที่ผมพูดมา ทั้งหลาย มันล้วนเป็นความจริง ที่หาเหตุผล มาคัดค้านไม่ได้ ทักท้วงไม่ได้...หลายคนรู้ว่าจริง แต่ไม่เข้าใจ.....การที่ไม่เข้าใจนี่แหล่ะครับ...เพราะมันเข้าไม่ถึง จิตใจท่าน นั่นเพราะ จิตใจท่าน ไม่มีที่ว่างให้มัน เข้าถึงใจพวกท่าน
พวกท่าน ไม่ศรัทธา พวกท่านไม่ทำทานกับผม...ถึงอ่านให้ตายยังไง...ท่านก็ไม่เปิดใจกับผม ...พวกท่านก็จะไม่มีวันเข้าใจได้เลย
นั่นเพราะ ของฟรีไม่มีในโลก.....ต้องมีการแลกเปลี่ยนเสมอ
ถ้าพวกท่าน ต้องการเข้าถึงความวิมุติ....ท่านก็ต้อง กล้าสละสมมุติ ให้ได้ เช่นกัน สละน้อย ได้น้อย สละมาก รู้มาก
ดังนั้น...ความสุข ที่เกิดจากการให้ ทาน ทำบุญนั้น....รู้กันทุกคน แต่ ยังไม่กล้าทำ เพราะเหตุใด
จงพิจารณาตนเองเถิด
ที่ผ่านมา การเกิด แก่ เจ็บ ตาย ความไม่เที่ยงทั้งหลาย คือ เหตุแห่งทุกข์....เมื่อพวกเรารู้แล้ว ว่า ทุกข์เกิดแต่เหตุ พวกนี้ ดังนั้น...ผู้มีปัญญา ทั้งหลาย..ก็ต้อง มีปัญญามองเห็นความจริงที่ว่า...ทุกข์หรือสุข อยู่ด้วยกัน อยู่ที่เดียวกัน ดังนั้น เรามาเปลี่ยน เหตุแห่งทุกข์ให้ กลายมาเป็น เหตุแห่งสุข กันเถอะ ด้วยสมอง สองมือ และปัญญา และ กำลัง ที่เราจะร่วมมือกัน ...เปลี่ยนแปลงเหตุแห่งทุกข์ให้มาเป็นเหตุแห่งสุข และสร้างความสุขให้กันและกัน ได้ โดย จะไม่สร้างความทุกข์ให้กันและกันอีกต่อไป อีกต่อไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น