วันจันทร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2554

อริยะสัจ 4

1.ความปรารถนาที่แท้จริง ของการเข้ามาปฏิบัติธรรม ของตนเองคืออะไร ค้นหาให้เจอ
2.หาเหตุแห่งทุกข์ให้ได้ แต่อย่าพากันสงสัยในธรรมะ หรือธรรมชาติ


เพราะทุกข์อาจไม่ไช่ของเรา อาจเป็นทุกข์จาก พ่อแม่ ญาติพี่น้อง คนอื่น คนรอบข้าง (มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์)

หวัด ยังมาจากภายนอก ทุกข์ก็มีมาจากภายนอก จากคนอื่นได้เช่นกัน
หวัด ยัง ระวังป้องกันได้ แล้วทำไม ทุกข์(ความคิดอารมณ์) ของคนอื่น ถึงจะป้องกันไม่ได้

การฝึกธรรม เพื่อให้เข้าถึงธรรมชาติ ความว่าง ความไม่มีอะไร เมื่อฝึกจนว่างได้ จะรับอะไร ก็ได้เช่นกัน เช่น พ่อแม่ทุกข์ ลูกทุกข์ไปด้วย ...ลูกทุกข์ พ่อแม่ทุกข์ไปด้วย

ทุกข์เพราะสภาวะของคนอื่น อย่าเอาสภาวะของคนอื่น มาเป็นสภาวะของตัวเอง
การรับพลังงานนั้น เป็น หลักสูตรโดยตรงของ พุทธศาสนา

คนเรา ร่างกายจิตใจ ก็เปรียบเหมือน ..เครื่องรับรู้โลก และ ส่งออก สื่อสารกัน ..เหมือนสถานีวิทยุที่ เปิดรับคลื่น (สภาวะอารมณ์) ของคนในโลกไว้ตลอดเวลา ...แต่ที่เรารับได้ ก็รับได้ จากแค่คนที่เรารู้จักกัน เท่านั้นแหล้ะ ถ้าคนไหนที่เราไม่รู้จัก เช่น คนที่อยู่ขั้วโลกเหนือ รับรองว่า สภาวะอารมณ์ของคนที่เราไม่รู้จัก มันจะไม่เข้ามาหาเราแน่นอน เพราะ เขาไม่รู้จักเรา คิดถึงเราไม่ได้

ดังนั้น การ ที่ฝึกจิต จนสงบ จนว่าง จนเข้าถึง สุญญตา...ท่านก็จะเป็นคน ว่างมาก ดังนั้นการรับรู้สภาวะอารมณ์ จากคนอื่น ญาติ คนที่เรารู้จัก....มันจึงหลีกเลี่ยงมิได้
เมื่อคนเหล่านั้นทุกข์ มาคิดถึงเรา เราทุกข์ไปด้วย เมื่อคนเหล่านั้นเศร้า มาคิดถึงเราเราเศร้าไปด้วย..แต่จงจำเอาไว้ ง่ายๆ ว่า ...สภาวะอารมณ์เหล่านี้ ก็ เหมือน เชื้อหวัด ..ถ้าเรารู้ระวัง รักษา กายใจ ไม่ให้ ติดเชื้อ ...เราก็ ไม่ติดเชื้อ

ดังนั้น จง รู้ตนเอง รู้ตัว มีสติ ฝึกสติให้ดี....เพื่อ รู้จักระวัง รักษากายใจของตน ให้รอดพ้นจาก สภาวะอารมณ์ ของผู้อื่น ที่มาจากผู้อื่น ให้จงได้ แล้ว จะได้ไม่ติดเชื้อ

จะได้ไม่หลง ไปกับ สภาวะอารมณ์ของคนอื่น

จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด รักษาตนให้รอดพ้นจากทุกข์ภัย(สภาวะอารมณ์คนอื่น)..ทั้งสิ้นเถิด

สาธุ

ว่าด้วยอริยะสัจ 4

ทุกข์ ..อะไรกันแน่คือทุกข์..ตอบ อุปทานทั้งปวง อยาก ไม่อยาก ความคิด อารมณ์ กิเลส ตัณหา

เหตุแห่งทุกข์...อะไรคือ ตัวต้นเหตุแห่งอุปทานทั้งปวง
นิโรธ...คือ ผลแห่งการดับทุกข์....คือกายใจเป็นปกติ....เช่นเราหิวไม่ได้กิน เราหิวอย่างแรง เราเป็นทุกข์ เหตุเพราะ กายอยากกินข้าวขาดสารอาหารขาดพลังงานจากธาตุมาหล่อเลี้ยงร่างกาย ...เราได้กินข้าว เราสุขที่ได้กิน ที่จะได้หายหิว พอกินอิ่ม...ไม่หิว หิวหาย หายไปไหนก็ช่างมันเถอะ แค่ ไม่หิวก็พอแล้ว.....ร่างกายเราไม่หิว ถือว่าปกติ ตอนกินมีความสุขในการกิน ในการเสพ ...มีความสุข สมหวัง สมความปรารถนา ที่ได้กิน เพื่อให้ หายหิว......แต่เมื่อเราอิ่ม...กายใจเราปกติ..หิวหายทุกข์หาย ความสุขในการกินที่ผ่านมานั้น อย่ายึดติด.....ถ้าไม่ยึดติดความสุขในการกิน ในการเสพ....กายใจเราก็ถือว่า ปกติ ไม่มีอุปทาน ของกายใจ
...
ต้นเหตุแห่งทุกข์ ที่กายหิว...แต่ ใจหิวมาก พอกายได้กินได้เสพ...ใจสุขมาก ชอบมาก สมใจเอามากมาก...ถ้าไม่รู้จักพอ ก็ถือว่า ...ยึดติด เกิดอุปทาน เกินกาย ที่อิ่มแล้ว แต่ใจยังไม่ปล่อยวาง ความสุขในการกิน ในการเสพนั้น......ใจผู้ปรุงแต่ง คือ ตัวต้นเหตุแห่งทุกข์ทั้งหลาย
....
แต่วิธีการดับทุกข์ นั้น พุทธองค์ไม่ ชี้เอาไว้ เป็น เส้นทางที่ตายตัว ชี้เอาไว้ โดยรวมว่า มี เส้นทางแห่งการดับทุกข์เพื่อให้พ้นทุกข์อยู่ คือ โพธิปักขิยะธรรม 37 ประการ คือ ธรรมเครื่องนำพาให้หลุดพ้นจากทุกข์(ทุกข์จากใจ อุปทานใจ ความคิดทั้งหลาย)
....
รู้ทุกข์ รู้กิเลส รู้ตัณหา รู้อุปทานใจ.............โสดาบัน
รู้ว่าทุกข์เกิดจากใจ รู้ว่าตัณหาเกิดจากใจ รู้ว่าอุปทานเกิดจากใจ......สกิทาคา
....
แล้ว ฝึก สติปัฏฐาน 37 เส้นทาง เลือกเอา สัก 1 เส้นทาง สติปัฏฐาน 4 คือเส้นทางที่ลัดที่สุด สั้นที่สุด คือ ดูกาย ดูเวทนาสุขทุกข์ของกาย ดูจิต(ความคิดของใจ หรืออุปทานใจ) จนปล่อยวางกายใจได้ ถือว่า รู้ไตรลักษณ์....รู้โลก(กายใจรับรู้โลก) ปล่อยวางโลกได้ปล่อยวางกายใจได้ ไม่ทุกข์สุข ไปกับโลก ไม่ทุกข์สุขไปกับกายใจ ถือว่า ...กายใจเป็นปกติได้ เพราะเห็นไตรลักษณ์ เข้าใจไตรลักษณ์....เรียกว่า.....อนาคามีผล
.....
.....
ส่วนมรรค 8 คือ สัมมา.ทั้งแปด เป็น วิชาของ อรหันต์มรรค....เพื่อชำระ โลกุตรจิต(สังขาร วิญญาณ สัญญา...เช่น ความรู้ ความคิด ความอยาก ความไม่อยาก ความสงสัย อัตตา ตัวตน ที่ มองไม่เห็น....เช่น เข้านิพพาน รู้ว่าเข้า....อยู่ในแสงสว่างมาก รู้ว่ามีแสง...ตัวที่รู้ นี่แหล่ะ คือ อัตตาตัวตนที่มองไม่เห็น แต่มันยังแสดงออก มาทาง ความคิด ความรู้ ความอยาก ความไม่อยาก ความสงสัย ไม่รู้จักพอ ไม่รู้จักหยุด ไม่รู้จักเหนื่อย....หรือพูดง่ายๆ คือ ไม่รู้จักกรรม...กรรม ที่แท้จริง ยังไม่ยอมรับกรรม ไม่รู้ว่า กรรมมีผล ของมัน)

จุดนี้...มีคนหลายๆคนที่หลง เข้ามาแล้วไม่มีทางออก ไม่มีทางไป.....อิอิ
เข้าทางไหน ก็ออกทางนั้น ไปทางไหน ก็กลับทางนั้น....เมื่อไม่มีที่ไป ก็กลับมา สิครับ
เมื่อ กสบใจ รูปนาม ท่าน เข้าถึง ความเป็นอนัตตา ...มีแต่ไม่มี ...ท่านก็ต้องกลับมา รับรู้โลก ในแบบที่ท่าน ...คิดว่า ท่านพ้นทุกข์ สิครับ
...
ถ้าหากใจท่าน ถึงนิพพาน พ้นทุกข์ ถึงอนัตตาธรรม.....ความจริง ที่เที่ยงแท้แน่นอนได้แล้ว ท่านก็จงนำ นามหรือใจที่ประเสริฐนั้น ใจที่ไม่ยึดติดสมมุติทั้งหลายนั้น กลับมารวมกับ กาย ที่ ยังอยู่ในโลก ที่ยังเป็น อนิจัง ทุกขัง อนัตตา....อยู่ ได้ สิครับ

...
ใจที่ไม่ทุกข์ ใจที่รู้ความจริงที่เที่ยงนั้น ต้องกลับมาอยู่กับกาย แล้วนำพากายให้อยู่กับโลก ที่ไม่เที่ยง ให้ มันสุข ตาม ใจ ได้สิครับ
...
ดังนั้น

อนิจัง ทุกขัง อนัตตา คือ....พวกที่ ไม่สามารถเอาชนะกายใจ ปล่อยวางกายใจ เอาชนะความคิดของใจ เอาชนะโลกไม่ได้ หรือ ยังหลงโลกอยู่ มันก็เลย ยัง ทุกขังอยู่...ยัง อนิจังทุกขังอนัตตา กันอยู่

แต่คนที่ใจ พ้นทุกข์แล้ว...ไม่มีทุกข์แล้ว...แล้วจะปล่อยให้ กายในโลก ชีวิตในโลก ต้องทุกข์อีกทำไมล่ะครับ ก็ต้องกลับมา เหมือน มาเกิดใหม่ ในร่างเดิม...เพื่อเรียนรู้ ที่จะเอา ความจริงในใจที่ค้นพบนั้น มานำพากาย เอาปัญญามาใช้ เพื่อให้ ชีวิต ที่เหลืออยู่ ..พ้นจากทุกข์ของโลก ของคนใลก พ้นสมมุติของโลก ให้ได้สิครับ
...
เพื่อ อนิจัง สุขขัง อนัตตา.......ไม่ไช่ สุขที่ใจที่นามอย่างเดียว รูปกาย ต้องสุข พ้นทุกข์ของโลก ด้วย....มันต้องเรียน
...
มันต้องเรียนรู้ ว่า ทำยังไง ถึงจะไม่ ไปนรก สวรรค์ อีกแล้ว....ทำยังไง ถึงจะเป็นมนุษย์ ตั้งแต่เกิด โต และตาย ที่ยังรักษากายใจ รูปนาม..แห่งความเป็นมนุษย์ เอาไว้ให้ได้
...
คนอื่น...เวลาไกล้ตาย....พอรู้ว่าตนเองจะตาย...ก็ อยากมีโอกาส อยามีเวลา อยากมีพลังในการ หลุดพ้น จากความคิด นี่แหล่ะครับ ไม่อยากให้ความคิด นำพาตนเองไปจุติในภพภูมิอื่น (ส่วนใหญ่คือนรก)
...
แต่เรา ต้องมาเรียนรู้ ..การพ้นทุกข์จากใจ จากความคิดให้ได้ก่อน...เวลาตาย จะได้ไม่ทุกข์กับความตาย.....อิอิ

...
ไม่ได้โม้ ที่พุทธองค์ ไม่ชี้ วิธีดับทุกข์ ลงไปเลย นั่นเพราะ...คนมี บัว 4 เหล่า ..ไม่รู้ตัวเอง เวลา ปฏิบัตฺแล้ว ไม่สำเร็จ จะได้ไม่มาโทษ ที่เส้นทาง หรือ วิธี...แต่จง จำแนกแยกแยะตนเองว่า เป็นบัวเหล่าใด.....อยากเป็นบัว ที่พร้อมบาน ก็รู้อยู่แล้ว ว่าต้องทำไง....ไม่ทำเอง ใครจะทำให้ท่านได้

ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น