วันจันทร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2554

ภูมิอรหันต์ ภูมิพุทธะ

ธาตุทั้งหลาย..ดิน น้ำ ลม ไฟ

ทำไมพุทธองค์ ถึงสอนให้อยู่กับลม อยู่กับ อานาปาณสติ


เพราะรู้ลม คือ รู้ ความละเอียดของความว่าง ลมคือแก่นของสรรพสิ่ง....สรพพสัตว์ ถ้าขาดข้าว 3 7 วันก็อยู่ได้ ขาดน้ำ 2 3 วัน อาจไม่รอด แต่ถ้าขาดลม..วินาทีใด ดับทันที
การเจริญสติ ด้วยการรู้ลม ก็คือ รู้ทุกอย่างที่ ลอยอยู่บนลม อาศัยลม ...ดังนั้น ลมคือตัวหล่อเลี้ยง สมมุติทั้งหลาย ที่ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป....ไตรลักษณ์ทั้งหลาย ล้วนถูกรองรับด้วยลม

ถามว่าอะไร คือ สิ่งที่สามารถ ตอบคำถามเราได้ทุกอย่าง....มันคือ ลม ลมคือ กุญแจ คือเส้นทาง เข้าสู่ สรรพสิ่ง ดังนั้นพุทธองค์เลยให้ มีสติอยู่กับอานาปาณสติ...อยู่กับลม

พระพุทธเจ้า ท่านมาจาก ความเป็นกษัตริย์...ความเป็นกษัตริย์ของท่าน ล้วนมีครบทุกอย่าง ในทางโลกธรรม ในทางรูปธรรม ไม่ว่าจะเป็น สนม 6 หมื่น ปราสาทสามฤดู ข้าทาสบริวาร ไม่มีใคร ในโลกนี้ มีรูปธรรมได้มากมายเท่า กษัตริย์ แม้แต่ประธานาธิบดี ยังไม่ อาจมีเทียบเท่ากษัตริย์ เพราะ กษัตริย์คือพระเจ้าแผ่นดิน ของทุกอย่างที่ตั้งอยู่บนแผ่นดิน ล้วนเป็นของพระเจ้าแผ่นดิน หรือ กษัตริย์พระองค์นั้น ทั้งหมด ทั้งสิ้น แม้แต่ ชีวิต ของ ประชาชน และ พื้นดิน

เจ้าชายสิทธัตถะ ท่าน มีทุกอย่าง เทียบเท่า จักรพรรดิเลยทีเดียว...มีรูปธรรมมากที่สุด กว่าใครใครในโลก ก็คือ ความเป็นกษัตริย์ ไม่มีใครมีรูปธรรมได้มากเท่าความเป็นกษัตริย์ แต่ท่าน ก็ยอมทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นรูปธรรมเพื่อค้นหา นามธรรม....

ดังนั้น เมื่อท่านละ ออก จากความเป็นกษัตริย์ มาเป็นพระพุทธเจ้า รู้พุทธะ
คนธรรมดาที่ไม่เคยเป็นกษัตริย์ เลยไม่รู้ ความเป็นพุทธะ ที่เจ้าชายสิทธัตถะ รู้นั้น
อรหันต์ เป็น สาวกภูมิ เท่านั้น ไม่อาจรู้ พุทธะ ที่ เจ้าชายสิทธัตถะรู้
นิพพาน เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้า สร้างมา อรหันต์ก็เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าสร้างขึ้นมา
ดังนั้น สาวกภูมิเหล่านี้ จะไม่มีสัน รู้ พุทธะภูมิ ที่เจ้าชายสิทธัตถะรู้ได้เลย

สมัยพุทธองค์พระเจ้าพิมพิสาร ที่เป็นกษัตริย์ยังต้อง มากราบพระพุทธเจ้า เพราะอยากรู้ในส่วนที่เป็นนามธรรม กษัตริย์ยังกราบพระ พ่อแม่ยังต้องกราบลูกที่เป็นพระ
เพราะ ทุกคนต้องการรู้ ในส่วนที่เป็นนามธรรม ความเป็นพุทธะที่พระพุทธเจ้าท่านรู้

คนที่ไม่เคยเป็นกษัตริย์ จะไม่รู้ ความคิดของกษัตริย์ จะไม่รู้ ว่าการมีทุกอย่าง เป็นเช่นไร
คนธรรมดาจะรู้ในสิ่งที่กษัตริย์รู้ไม่ได้ เพราะไม่เคยเป็นกษัตริย์ แต่เจ้าชายสิทธัตถะ ท่านทิ้ง สิ่งที่เป็นที่สุดของโลกได้...ท่านทิ้งสมมุติทุกอย่างได้ ไม่ว่า เงินทอง ความร่ำรวย กษัตริย์ไม่มีความต้องการ ทางรูปธรรมอีกแล้ว เพราะความเป็นกษัตริย์มันมีครบทุกอย่างแล้ว
ดังนั้น ท่านจึงละทิ้ง ส่วนที่เป็นรูปธรรมได้ เพื่อ ค้นหา นามธรรม

คนทุกคนต้องการรู้ ในส่วนของนาม จึงต้อง มีการ ทำบุญ ปฏิบัติ เดินทาง ไล่ตามความอยาก เพื่อต้องการ รู้ในส่วนที่เป็น นาม แม้แต่พระอรหันต์ยังไม่รู้ในสิ่งที่พระพุทธเจ้ารู้

ก็เลยพากัน ทำบุญ ปฏิบัติธรรมเพื่อรู้ ...ทำ ทำ ทำ ปฏิบัติ ปฏิบัติ ปฏิบัติ
ภูมิสาวก ทั้งหลาย จะไม่มีวัน เข้าใจ ภูมิของพุทธะ....เพราะ มันเป็นภูมิของ คนบางคนเท่านั้น คนทุกคน คนหลายคน เป็นเจ้าชายสิทธัตถะไม่ได้ เป็นกษัตริย์ไม่ได้ ถึงเป็นกษัตริย์ แต่ไม่ได้เป็น เจ้าชายสิทธัตถะ...ดังนั้น ทุกคน เป็นได้แค่ สาวกภูมิ...ควรเข้าใจ และพอใจ ใน ภูมิแห่งตน

จงเงยหน้ามองดูดวงอาทิตย์...ความจริงมันปรากฏอยู่ตรงหน้านั้นแล้ว...ใครบ้างคิดอยากเป็นดวงอาทิตย์ ทุกคน รับรู้ และเห็นดวงอาทิตย์กันหมดทุกคน แต่ไม่มีใครเอื้อมถึงดวงอาทิตย์ได้ แต่ทุกคนก็ได้รับรู้ การมีอยู่ ของดวงอาทิตย์ ดังนั้น ภูมิสาวก มีแค่ให้รู้ รู้ว่ามีอยู่
แต่ไม่ต้องคิดที่จะเป็น จงพอใจในตนเอง พอใจในสิ่งที่ตนเองเป็นอยู่ ให้ได้

เพราะพุทธภูมิ มันเลยคำว่า ว่าง เลยคำว่ารู้ เลยคำว่าอรหันต์ เลยความคิด เลยจินตนาการไปอีก เลยเรื่องของพลังงาน ดังนั้น ไอสไตล์จะคิดให้ตายยังไง ก็ไม่สามารถเข้าใจพระพุทธเจ้าได้หรอก

อย่างเช่นรูปภาพ ที่พวกท่าน ดูนั้น....รูปไม่ไช่ประเด็น แต่ประเด็นอยู่ที่คนวาด
ธรรมะของพระพุทธเจ้า ไม่ไช่ประเด็น ประเด็นมันอยู่ที่ คนรู้ธรรมนั้น ความเป็นพระพุทธเจ้านั้น คนธรรมดาอย่างเราเรา จะไปเปรียบกับความเป็นพระพุทธเจ้าได้อย่างไร...

ธรรมะเป็นเรื่องของพระสงฆ์สาวก พระไตรปิฏกเป็นตำราเรียนของพระสงฆ์สาวก ของคนที่มีศีล 227 ข้อ บริสุทธิ์ทั้ง รูปและนาม....คนธรรมดา แค่ ศีล 5 ศีล10 จะมีรูป ที่บริสุทธิ์ ที่สามารถรองรับ นามที่บริสุทธิ์ได้ยังไง

ดังนั้น ฆราวาสที่เรียน ธรรมะกับพระสงฆ์สาวก พระอรหันต์ท่านใด ท่านก็จะได้รับรู้นามแต่เพียงในส่วนนั้นๆ แต่รูปของท่าน ไม่ได้เป็นสมมุติสงฆ์ ไม่มีศีล 227 ข้อ ท่านก็จะไม่มีวัน เข้าใจได้ถึงแก่นแท้ของมันหรอก...เพราะท่านเป็นฆราวาสไม่ไช่พระสงฆ์ ดังนั้น มีอยู่สิ่งหนึ่ง ที่ ฆราวาสทั้งหลาย จะเข้าถึงธรรมตามอาจารย์ที่เป็นพระอรหันต์ได้ นั่นก็คือ เรียนวิชาตามพระ เรียนเรื่องของนามจากความเป็นพระ ทีสุดแล้ว ตัวท่าน ต้อง เป็นพระด้วย บวชด้วย เพื่อที่รูปนาม จะได้ สมดุลย์กัน เท่าเทียมกัน บริสุทธิ์เท่าเทียมกัน แล้ว ท่านถึงจะได้เข้าใจอะไรในบางสิ่งบางอย่าง ในความเป็นนามนั้น

เรียนตามพระ เรียนกับพระ....ท่านรับส่วนของนามจากพระมา ท่านต้อง ทำรูปของท่านให้ เป็นพระด้วย เพื่อ ความสมดุลย์ของรูปนาม เพื่อเข้าถึงนาม เข้าใจนาม

ฆราวาสที่เป็นชาย ท่านบวชได้
แต่ฆราวาสที่เป็นหญิง ถึงจะบวช ก็ไม่เหมือน พระพุทธเจ้าอยู่ดี เพราะ รูปท่านเป็นหญิง ...

ยกเว้นฆราวาสที่ไม่ได้เรียน วิชาพระ เช่น เรียนกับเจ้าแม่กวนอิม หรือ เข้าใจพระพุทธเจ้าว่าท่านไม่ไช่พระ ท่านเป็นเจ้าชายสิทธัตถะที่ ละทิ้งสมมุติทั้งปวงของโลก ได้แล้ว เป็นแค่คนธรรมดา...ท่านเห็นความเป็นธรรมดาในตัวพระพุทธเจ้าได้เมื่อไร ท่านก็ จะ เข้าใจเอง
ไม่ไช่ พากันยึดติดในความเป็น สมมุติของคำว่าพระพุทธเจ้า เพราะก่อนดับขันธ์ท่านก็สอนอยู่แล้วว่า อย่ายึดในความเป็นพระพุทธเจ้าของท่าน แต่ให้ยึดความจริง ยึดธรรม ยึดธรรมชาติ ที่ตนเอง เข้าถึง

ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา....แปลว่า ให้ รู้ธรรม รู้ธรรมชาติ เข้าถึงธรรมชาติ ความจริงในตน รู้ตน แล้ว รู้ พอ รู้ตัว หยุดอยาก
ไม่ไช่ให้ไล่ตามความอยาก อยู่ร่ำไป ไม่รู้จักพอ ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย จนไม่รู้ความทุกข์ของความอยาก ที่พากัน วิ่งไล่ตาม
ทั้งที่วิ่งไล่ยังไง ก็ไม่เคยได้มา ไม่เคยพอใจ กับ สิ่งที่ตนเอง ได้มาเลย

เช่นถามว่า คนตาบอด อยากขับรถ อยากขี่เครื่องบิน....ถึงเอารถมาให้ถึงหน้าบ้าน เอาเครื่องบินมาให้ถึงหน้าบ้าน..แล้ว จะขับยังไงกันเล่า
ต้องรู้ตัวเอง ว่า ถึงมีรถ มีเครื่องบัน แต่ความอยาก ของตน มันก็ สนองไม่ได้ ...นอกจากตายแล้วเกิดใหม่
ต้องดูตัวเอง รู้ตัวเอง พอที่ตัวเอง เอาที่มันเหมาะสมกับตนเอง ก็พอ

ภูมิสาวกก็ภูมิสาวก ภูมิพุทธะ ก็คือภูมิของพุทธะ
โยมเรียนกับพระ ได้อรหันต์พระ แต่ตนเองบริสุทธิ์ไม่พอ เรียนมาแล้ว....ก็(อันตราย) ท่านต้องบวช
ฆราวาสที่เป็นหญิง ที่เรียนอรหันต์ของพระ อรหันต์จากพระ...ท่านลองมองดูตัวเองสิครับ ว่าท่านจะบวชยังไง ก็ไม่เหมือนกับพระ(ผู้ชายที่บวช)สรีระร่างกาย มันไม่ได้...ถึงจะ ทู่ซี้บวชไปก็ไม่ได้รับคำตอบ ไม่อาจสนองความอยากของท่านได้

หญิงที่เรียนอรหันต์ของพระมาแล้ว ท่านต้อง มาทำยังไงก็ได้ ให้ท่าน ..ได้เกิดเป็นผู้ชาย ท่านถึงจะบวชแล้วเป็นพระสาวก ได้จริงๆ
อันนี้ สมการ มัน ยาก น่าดู

อิอิ

1 ความคิดเห็น:

  1. รู้หลบเป็นปีก รู้หลีกเป็นหาง รู้ลมรู้ทั้งหลบและหลีก

    ตอบลบ